รายงานฉบับเจาะลึก In Focus ของ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ ที่เผยแพร่วันนี้ (10 พ.ย.64 ) ซึ่งเป็น วันที่ 3 หลังสหรัฐฯ พร้อมเปิดประเทศ ได้ประมวลความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันน่าประทับใจดังกล่าว มาเกาะติดกันว่า จากนี้ไปมีประเด็นอะไรบ้าง ที่วันนี้ประตูแห่งโอกาสการฟื้นตัว ก้าวสู่วิถีใหม่ที่เรียกว่า New Normal ได้ฉายแสงออกมาแล้ว!!
บริติช แอร์เวย์-เวอร์จิน แอตแลนติก จับมือเทคออฟสู่มหานครนิวยอร์ก
การกลับมาเปิดพรมแดนสหรัฐฯ ครั้งนี้ ส่งผลให้ผู้ที่มาจากประเทศต่าง ๆ 33 แห่ง ประกอบด้วยประเทศในกลุ่มวีซ่าเชงเก้น (ประเทศในสหภาพยุโรป 22 ประเทศ รวมไอซ์แลนด์, ลิกเตนสไตน์, นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์), จีน, สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์, อิหร่าน, แอฟริกาใต้, บราซิล และอินเดีย เดินทางเข้าสหรัฐได้
แน่นอนว่าบรรดาสายการบินที่มีเส้นทางบินระหว่างสหรัฐและประเทศข้างต้นต่างตื่นเต้นที่ได้กลับมาให้บริการอีกครั้ง โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่สายการบินบริติช แอร์เวย์และเวอร์จิน แอตแลนติก ซึ่งได้จัดเที่ยวบินสองเที่ยวออกเดินทางพร้อมกันจากสนามบินฮีทโธรว์ในกรุงลอนดอนของอังกฤษ มุ่งหน้าไปยังสหรัฐ โดยเครื่องบินของสายการบินเวอร์จิน แอตแลนติก เที่ยวบินที่ VS3 ร่อนลงจอดที่สนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ เคนเนดี ในนิวยอร์ก เมื่อเวลา 10.51 น. ตามเวลาท้องถิ่น และในเวลา 11.00 น. เครื่องบินของสายการบินบริติช แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ BA001 ก็ตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
นายฌอน ดอยล์ ซีอีโอของสายการบินบริติช แอร์เวย์ ซึ่งได้ร่วมเดินทางไปในเที่ยวบินแรกของสายการบินหลังสหรัฐยกเลิกคำสั่งแบน กล่าวว่า "นี่คือวันที่พวกเราเฝ้ารอให้มาถึงเร็ว ๆ หลังจากที่ไม่สามารถเดินทางไปสหรัฐได้ 604 วันเต็ม เราดีใจมากที่ได้กลับมาบินอีกครั้ง"
หลักเกณฑ์ในการเดินทางเข้าสหรัฐฯ หลังเปิดประเทศ
รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดให้ผู้ประสงค์เดินทางเข้าประเทศที่ไม่ใช่พลเรือนสหรัฐฯ จะต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครบโดสก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยจะต้องฉีดวัคซีนที่ได้รับการรับรอง หรือได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) หรือเป็นวัคซีนที่อยู่ในรายชื่อขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งประกอบด้วยวัคซีนของบริษัท
ผู้เดินทางสามารถแสดงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนได้ทั้งแบบกระดาษ, รูปถ่ายเอกสาร หรือใบรับรองดิจิทัลให้เจ้าหน้าที่สนามบินตรวจสอบ
นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว ผู้เดินทางมายังสหรัฐฯ ยังต้องแสดงหลักฐานการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบไม่เกิน 3 วันก่อนออกเดินทาง โดยสหรัฐฯ ได้บังคับใช้มาตรการนี้มาตั้งแต่เดือนมกราคม ทั้งผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและพลเมืองของสหรัฐฯเองก็ตาม
ในกรณีที่ผู้เดินทางจากต่างประเทศ ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้จะเป็นพลเมืองของสหรัฐฯ ก็จะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อภายใน 1 วันห ลังจากที่เดินทางมาถึง โดยสามารถตรวจหาเชื้อได้ทั้งวิธี Rapid Antigen และการตรวจแบบ PCR
อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐได้ระบุข้อยกเว้นเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการใหม่ สำหรับผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศซึ่งอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากบางประเทศยังไม่อนุมัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับเด็ก
ในส่วนผู้เดินทางจากต่างประเทศที่อายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไปที่มากับผู้ใหญ่นั้น ต้องแสดงหลักฐานการตรวจหาโควิด-19 เป็นลบภายใน 3 วันก่อนออกบิน ส่วนในกรณีที่เดินทางโดยลำพัง จะต้องแสดงหลักฐานดังกล่าวภายในหนึ่งวันก่อนออกเดินทาง นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังกำหนดให้ผู้เดินทางเข้าประเทศ จะต้องแจ้งข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ และที่อยู่แก่สายการบิน เพื่อเตรียมไว้ในกรณีที่พบการระบาดหลังเดินทางมาถึงสหรัฐฯ
สายการบินขานรับ ยอดจองพุ่ง ค้าปลีกเตรียมเฮ!!
การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวที่เข้าขั้นเจ็บปางตาย ข้อมูลจากสมาคมการท่องเที่ยวของสหรัฐ (U.S. Travel Association) เปิดเผยว่า ตั้งแต่โควิดเริ่มระบาด ภาคการท่องเที่ยวของสหรัฐสูญเม็ดเงินไปเกือบ 5 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ภาครัฐสูญรายได้จากการจัดเก็บภาษีในธุรกิจท่องเที่ยวไปราว 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 36% ในปี 2563
พิจารณาจากข้อมูลเบื้องต้น จากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ระบุว่า ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้สายการบินต่าง ๆ ปรับลดจำนวนผู้โดยสารลง 39% ในปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2562 ขณะที่ยอดผู้โดยสารทั่วโลกนั้นคาดว่าลดลงไปราว 2.19-2.23 พันล้านคน หรือ 49-50% ส่วนรายได้จากการดำเนินงานด้านการขนส่งผู้โดยสารคาดว่าจะหายไปราว 3.23-3.27 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ข้อมูลจากสมาคมการท่องเที่ยวของสหรัฐฯ ยังเผยอีกว่า ในช่วงปี 2562 นักท่องเที่ยวจาก 28 ประเทศในยุโรปซึ่งสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามเดินทางเข้าประเทศนั้น มีสัดส่วนมากกว่า 37% ของผู้เดินทางจากต่างประเทศ ขณะที่ Cirium ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเดินทางระบุว่า หลังสหรัฐฯ ประกาศคำสั่งเปิดประเทศ สายการบินต่าง ๆ ได้เพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ เพิ่มจากเดือนต.ค. ขึ้นอีก 21% ในเดือนพ.ย.
ทางด้านนายวสุ ราชา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี สื่อใหญ่ของสหรัฐ ที่สนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ เคนเนดี ในนิวยอร์กว่า
"ยอดจองเที่ยวบินระหว่างสหรัฐกับบราซิลและสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นถึง 70% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่นั้นเป็นเที่ยวบินที่มีกำหนดเดินทางในไตรมาสที่ 4 นอกจากนี้ สายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ยังร่วมกับสายการบินบริติช แอร์เวย์ ดำเนินการเร่งฟื้นฟูปริมาณการเดินทางให้กลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดระบาดให้ได้ภายในต้นปี 2565"
สำหรับนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวของสหรัฐฯ สื่อต่างประเทศยังรายงานอีกว่า เรื่องนี้ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเคยมีเงินสะพัดจากนักท่องเที่ยวเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยมีรายได้จากการขายของที่ระลึก สินค้าแบรนด์เนม สุราชั้นดี รวมถึงสินค้าอื่น ๆ ที่หาจากที่อื่นไม่ได้ "
โดยอ้างอิงตัวเลขจากทาง สำนักงานการค้าระหว่างประเทศ (ITA) ระบุว่า ปี 2562 เม็ดเงินที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจับจ่ายใช้สอยในสหรัฐฯ นั้น มีมูลค่ากว่า 3.4 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 27% ของมูลค่าการใช้จ่ายทั้งหมดในภาคการท่องเที่ยวและเดินทาง
สำหรับประเด็นนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าปลีกได้ให้ความเห็นว่า
อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในสหรัฐฯ จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นและปริมาณการใช้จ่ายกลับสู่ระดับเดียวกับก่อนที่โควิด-19 จะระบาด ประกอบกับเที่ยวบินที่ยังมีจำนวนไม่มาก ขณะที่อีกหลายประเทศ รวมถึง จีน ยังคงใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการเดินทางออกนอกประเทศ รวมถึงมาตรการต่าง ๆ ในการสกัดโควิด-19 ที่มีขั้นตอนซับซ้อนอาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวชะลอการจองเที่ยวบินออกไปก่อน
โดย แดเนียล บินเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากโคลัมบัส คอนซัลติ้ง (Columbus Consulting) บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจค้าปลีก ให้ความเห็นในกรณีนี้โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ 9/11 และการระบาดของโรคซาร์ส (SARS) ว่า
"ภาคธุรกิจค้าปลีกของสหรัฐฯจำเป็นต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะดึงนักท่องเที่ยวให้กลับมาได้ท่องเที่ยวมากขึ้นและใช้จ่ายอย่างอิสระในประเทศ"