29 ตุลาคม 2564 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน แถลงข่าวความร่วมมือ ALL FOR EDUCATION ร่วมสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษา รวมพลังฟื้นฟูประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีเครือข่ายเข้าร่วมก่อตั้งมากกว่า 16 องค์กร เข้าร่วม โดยมีน.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ และ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ
โดย น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังฟื้นตัวเพื่อก้าวไปข้างหน้า การศึกษาเป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะส่งผลกระทบโดยตรงกับเด็กและเยาวชน รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการในการบรรเทา ป้องกัน หรือฟื้นฟูที่เข้มข้นเพียงพอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะสูงขึ้นหรือมีเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติ เงินเยียวยาผู้ปกครองและนักเรียนในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน จำนวน 10.8 ล้านคน รวมเป็นเงินประมาณ 21,600 ล้านบาท เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในสถานการณ์โควิด-19
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ยั่งยืน ต้องทำให้ปฏิรูประบบได้อย่างแท้จริง ซึ่งหนึ่งในกลไกสำคัญ คือ การพัฒนางานร่วมกับ กสศ. ริเริ่มระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา เพื่อให้เด็กและเยาวชนทุกคน ได้เรียนต่ออย่างเต็มศักยภาพ ไม่หลุดออกนอกระบบ โดยมีตัวอย่างมาตรการสำคัญ คือ โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไขของโรงเรียนสังกัด สพฐ. เพื่อให้เกิดผลลัพธ์มุ่งตรงกลุ่มเป้าหมายที่ยากจนที่สุด 15 % ของประเทศ โดยในภาคเรียนที่ 1/2564 ที่ผ่านมา สามารถช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาสังกัด สพฐ. จำนวน 1,208,367 คน ไม่ให้หลุดออกจากระบบการศึกษา
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการพิเศษ เพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนช่วยเหลือนักเรียนทุนเสมอภาคช่วงชั้นรอยต่อ (อนุบาล 3, ป.6, ม.3) ในสถานการณ์โควิด-19 ให้ได้ศึกษาต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้น จำนวน 294,454 คน กระทรวงศึกษาฯ และ กสศ. ยังพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อดูแลและส่งต่อนักเรียนครอบคลุมทุกมิติ เชื่อมโยงการทำงานอย่างมีส่วนร่วม รวมถึงระบบดูแลเฝ้าระวัง พร้อมทั้งส่งต่อเด็กวัยเรียนในครัวเรือนยากจน และด้อยโอกาส ให้คงอยู่ในระบบการศึกษา ซึ่งจะดำเนินการครบวงจรครอบคลุมทั้ง 225 เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศในปีการศึกษา 2565
"ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานั้นเป็นปัญหาขนาดใหญ่ และการแก้ปัญหาที่อาศัยกลไกภาครัฐแต่เพียงลำพัง ย่อมไม่สามารถจัดการให้หมดไปได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ด้วยแนวคิด “ปวงชนเพื่อการศึกษา” หรือ “All for Education” ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมแบ่งปันความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และทรัพยากรที่มีร่วมกัน เพื่อสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษา ให้แก่เด็กยากจนด้อยโอกาส เพราะในวันนี้เราไม่สามารถ ทิ้งเด็กคนไหนไว้ข้างหลังได้อีกแล้ว และนี่คือเวลาของการปฏิรูปเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา" น.ส.ตรีนุช กล่าว
ด้าน ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการบริหาร กสศ. กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ และความเป็นผู้นำของผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาล ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะในวิกฤตโควิด-19 ซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ถือเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ขณะเดียวกัน การที่ทั้ง 3 รัฐได้กรุณาเสียสละเงินเดือนเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อช่วยเหลือสนับสนุน ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเกิดขึ้นของเครือข่าย ALL FOR EDUCATION ร่วมสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาจากความร่วมมือของทั้ง 16 องค์กร ทั้งภาคเอกชนและภาคประชาสังคม
ทั้งนี้ กสศ.ได้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา Information System for Equitable Education หรือ iSEE เชื่อมโยงระบบสารสนเทศของเด็กเยาวชนรายบุคคลมากกว่า 10 ล้านคน จากสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สพฐ. กระทรวงมหาดไทย กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และ กสศ. เพื่อแสดงข้อมูลสารสนเทศให้สังคมมองเห็นสถานการณ์ความเสมอภาคทางการศึกษาในรายพื้นที่ ครอบคลุมสถานศึกษามากกว่า 30,000 แห่ง ใน 3 สังกัดทั่วประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการชี้เป้าและการรายงานผลการสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการช่วยเหลือด้วยทรัพยากรจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน เพื่อยกระดับการทำงานจากการเยียวยา สู่การจัดการเชิงระบบที่ยั่งยืนเพื่อสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาจากพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน
จากข้อมูลล่าสุดภาคเรียนที่ 1/2564 ประเทศไทยมีเด็กยากจนและยากจนพิเศษรวมประมาณ 1.9 ล้านคน โดยในตัวเลขนี้พบว่ามีเด็กช่วงชั้นรอยต่อ จำนวน 43,060 คน ที่ยังไม่พบข้อมูลว่าได้กลับเข้ามาเรียนต่อในภาคเรียนที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่อยู่ในรอยต่อระดับ ม.3 ขึ้น ม.4/ปวช. ซึ่งจากการรายงานของสถานศึกษา ในช่วงเปิดเทอม 1/2564 ที่ผ่านมานี้ ชี้ถึงสาเหตุที่เด็กกลุ่มนี้ไม่เรียนต่อ เนื่องจากต้องช่วยผู้ปกครองทำงาน หารายได้เป็นเสาหลัก เลี้ยงครอบครัว โดย กสศ. ได้ประสานงานร่วมกับ สพฐ. ในการส่งต่อข้อมูลเด็กช่วงชั้นรอยต่อกลุ่มนี้ เพื่อวิเคราะห์เชื่อมโยงกับรายชื่อผู้ที่รับเงินเยียวยาผู้ปกครองและนักเรียน ทั้งสายสามัญศึกษาและสายอาชีพ จำนวน 2,000 บาท และทำงานร่วมกับเขตพื้นที่การศึกษา 245 เขตทั่วประเทศในการติดตามเพื่อให้กลับมาเรียนต่อในภาคเรียนที่ 2/2564 นี้
ขณะที่ คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า แม้ครม.จะมีนโยบายเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะเยาวชนและครอบครัวไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่เด็กที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือเด็กที่สูญเสียผู้ปกครองไปเพราะโควิด-19 เด็กกลุ่มนี้จึงต้องถูกให้ความสำคัญและได้รับการสนับสนุนจากสังคม แม้เงินเดือน 3 เดือนของรัฐมนตรี จะเป็นเงินไม่มากนัก แต่แสดงถึงความตั้งใจของทั้งสามคน ดังนั้น ขอเชิญชวนร่วมสละเงินเดือนเพื่อร่วมกับ กสศ. ในการช่วยเหลือเยาวชนที่มีต้องการจริงๆ โดยความร่วมมือร่วมใจของชุมชนและสังคมจะเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งยวดในการให้ความช่วยเหลือเพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาของเด็กต่อไป
ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า การบริจาคให้แก่ กสศ. เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นตั้งใจของทั้ง 3 รัฐมนตรีในการทุ่มเทเพื่อผลักดันการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมาย เด็กเปราะบางที่มีความบกพร่องทางร่างกาย แต่มีศักยภาพและแรงใจเต็มเปี่ยม เพราะเชื่อมั่นว่าสามารถสนับสนุนให้เด็กๆ กลุ่มนี้ พัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ เพราะทุกคน ถือเป็นกำลังสำคัญต่อประเทศชาติเช่นกัน
อนึ่ง สามารถบริจาคเงินสมทบผ่านแคมเปญ "ALL FOR EDUCATION ร่วมสร้างหลักประกันทางการศึกษา" เพื่อช่วยเหลือ 3 กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย
1.เด็กเยาวชนผู้ด้อยโอกาสจำนวนมากกว่า 1,612 คน ที่ศึกษาและอาศัยอยู่ใน 14 โรงเรียนพักนอนในพื้นที่ยากลำบากที่สุดในประเทศไทย
2.เด็กกำพร้าที่สูญเสียผู้ปกครองจากโควิด-19 จำนวน 399 คน ให้ได้ศึกษาต่อไปในระบบการศึกษา
3.เด็กพิการจำนวน 103 คน ในศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)