
จากกรณีนางเอ(นามสมมุติ) อายุ 50 ปี ชาวจ.อุดรธานี ร้องทุกข์กับมูลนิธิปวีณาฯ ว่า นายโต(นามสมมุติ) ลูกชายอายุ 30 ปี ก่อนหน้านี้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ พอช่วงโควิดระบาดตกงานจึงกลับมาอยู่บ้าน ส่วนสามีใหม่ของตนไปทำงานที่ต่างจังหวัดตนจึงอยู่บ้านกับนายโต 2 คน ระหว่างที่อยู่ที่บ้านร่วม 2 ปี นายโตไม่ยอมทำงานอะไรเอาแต่กินเหล้าและเสพยาบ้าเป็นประจำขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยติดตามคดี “ปวีณา” ประสานตำรวจ สภ.บ้านผือ จ.อุดรธานี จับกุมพร้อมคุมตัวฝากขังแล้ววันนี้ นายโต นามสมมุติให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
โดยเหตุเกิดคืนวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ขณะที่นางเอ นามสมมุติกำลังนอนหลับอยู่ในห้องนายโตเมากลับมาได้ปีนหน้าต่างเข้ามาหาและใช้มือล้วงอวัยวะเพศของตนก่อนพยายามจะข่มขืน ตนได้ต่อสู้ขัดขืนและหันไปคว้าแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ที่อยู่ใกล้มือทุบเข้าที่ท้ายทอยและหน้าผากจนนายโตสลบไป จากนั้นตนจึงรีบวิ่งลงจากบ้านขับ รถจยย.ไปหาพี่สาวที่อยู่บ้านใกล้ก่อนจะโทรแจ้งตำรวจ พอตำรวจมาที่บ้านนายโตก็ได้หายไปแล้ว ตนจึงไปแจ้งความที่ สภ.บ้านผือ ทั้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดของนายโต ซึ่งตนต้องการจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด หลังจากนั้นวันที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านผือ ได้ไปจับกุมนายโต ข้อหา”พยายามข่มขืนและกระทำชำเราผู้อื่น” ที่ตำบาลบ้านค้อ ก่อนควบคุมไปฝากขังที่ศาลจังหวัดอุดรธานี และขอคัดค้านการประกันตัว ก่อนได้นำตัวไปคุมขังที่เรือนจำกลางอุดรธานีเพื่อรอดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ล่าสุด 8 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเกิดเหตุ ต.บ้านค้อ อ.บ้านผือ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูง พบนางเอ นามสมมุติ เป็นแม่พาไปดูจุดที่เกิดเหตุบริเวณด้านข้างบ้านจุดที่นายโตปีนขึ้นไป และห้องนอนพบร่องรอยคาบเลือดบนพื้นบ้านที่นอน และมุ้งหลายจุด และข้างที่นอนพบแบตเตอรี่ ซึ่งนางเอ ได้ใช้ตีหัวลูกชายจนได้รับบาดเจ็บ
นางเอ เปิดเผยว่า นายโต (นามสมมุติ) ลูกชายอายุ 30 ปี ก่อนหน้านี้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ พอช่วงโควิดระบาดตกงานจึงกลับมาอยู่บ้าน ส่วนสามีใหม่ของตนไปทำงานที่ต่างจังหวัดตนจึงอยู่บ้านกับนายโต 2 คน ระหว่างที่อยู่ที่บ้านร่วม 2 ปี นายโตไม่ยอมทำงานอะไรเอาแต่กินเหล้าและเสพยาบ้าเป็นประจำระยะหลังไปทำบ้านให้พี่สาวกับพ่อแท้ๆของนายโต เลิกงานก็จะมานอนที่บ้านกับตน ช่วงแรกก็นอนด้วยกันข้างบนบ้าน แต่นายโตเริ่มดื่มสุราและเสพยาก็เลยให้ลงมานอนข้างล่าง เพราะตนกลัวช่วงที่เมาจะชอบทำลายสิ่งของ
โดยในวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังนอนหลับอยู่ในห้องนายโต มีอาการเมาได้ปีนหน้าต่างเข้ามาหา บนที่นอนลักษระค่อมบนตัวของตน โดยนายโต บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ตนจะมาขอขมา ซึ่งตนก็นึกว่าจะมาขอโทษตนเรื่อง เมาและทำรายสิ่งหรือเรื่องติดยาเสพติด ตนก็ไม่คิดอะไร จากนั้นนายโตใช้มือล้วงอวัยวะเพศของตนก่อนพยายามจะข่มขืน แต่ตนต่อสู้ขัดขืนและหันไปคว้าแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ที่อยู่ใกล้มือทุบเข้าที่ท้ายทอยและหน้าผากจนนายโตจนเลือดไหลอาบตัว แล้วฟุบลงไป จากนั้นตนจึงรีบขับรถไปหาพี่สาวที่อยู่บ้านใกล้ก่อนจะโทรแจ้งตำรวจ พอตำรวจมาที่บ้านนายโตก็ได้หายไปแล้ว ตนจึงไปแจ้งความที่ สภ.บ้านผือ ทั้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดของนายโต ซึ่งตนต้องการจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยติดตามคดีให้ด้วยอีกทาง
นางเอ เปิดเผยต่อว่า ตนกับลูกชายไม่ได้อยู่ด้วยกันนานมาก เพราะหลังจากเลิกกับพ่อเค้าไป ตนก็ไปทำงานและส่งเงินมาให้ยายเพื่อเลี้ยงลูกชายกับพี่ๆน้องอีก3คน ซึ่งตนไม่คิดว่าลูกชายจะมาทำเรื่องไม่ดีแบบนี้กับตนได้ ถ้าตนไม่ใช้แบตเตอรี่ตีลูกจนฟุบลูกชายคงจะทำกับตนมากว่านี้ หลังจากเกิดเรื่องได้ไปคุยกับแม่ตนและพี่น้องญาติๆ บางคนก็อยากจะให้ตนให้อภัยลูกชาย แต่ตนก็บอกว่าจะมีใครมารับประกันว่าถ้าลูกชายของตนกลับมาจะไม่ทำอีก เพราะตนกลัวจะกลับมาทำร้ายตนอีก ในช่วงที่ตนอยู่กับลูกชายก็ยายามจะพูดดีทำดีด้วยทุกอย่างบอกให้เลิกยาเสพติดลูกชายก็จะเถียงอยู่เสมอ และก็เคยให้ดูข่าวเรื่องลูกเมายาฆ่าแม่ แต่ลูกชายก็บอกกับตนแบบทีเล่นทีจริงว่าแม่กลัวไหมแบบนี้ ตนก็ว่าต้องให้ตำรวจจับไปให้หมดลูกชายก็พยายามพูดข่มขู่ตน
ตนก็อยากฝากบอกลูกชายว่า แม่พยายามตักเตือนสอบถามปัญหาชีวิตของเขาพยายามพูดดีแล้วจะช่วยเหลือเขากับชีวิตของเขามีปัญหาอะไรถึงต้องไปยุ่งกับยาเสพติด แต่เขาไม่เปิดใจรับฝัง ตนก็อยากบอกว่าสิ่งที่เขาทำก็อยากให้รับกรรมที่เขาทำในครั้งนี้
ส่วนนางบี นามสมมุติ อายุ 53 ปีเป็นพี่สาวของแม่นายโต บอกว่า ตนอยากจะขอความเป็นธรรมให้กับหลานชาย เพราะยังไม่เชื่อว่าหลานชายจะทำแบบนี้กับน้องสาวของตนจึงได้ไปแจ้งความกับตำรวจเอาไว้ โดยหลานชายได้มาช่วยพ่อและแม่เลี้ยงต่อเติมบ้านให้ตน ซึ่งวันที่เกิดเหตุหลังเลิกงานได้ดื่มสุรากับพ่อ และไม่ได้กินข้าวด้วย โดยบอกว่าจะไปกินข้าวบ้านแม่ จากนั้นหลานชายก็กลับไปบ้านแม่ที่ทุ่งนาอยู่ห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตร จนช่วงดึกน้องสาวก็มาหาตนบอกว่าลูกชายจะข่มขืนจึงได้ใช้แบตเตอรี่ตีหัวและให้พาไปแจ้งความ หลังจากเกิดเหตุหลานชายก็หายไปไม่มาที่บ้านตนอีกจนทราบว่าตำรวจจับหลานชายได้แล้ว ตนจึงได้นำอาหารไปเยี่ยมแต่ก็ไม่พบเนื่องจากตำรวจได้ส่งตัวไปเรือนจำแล้ว
นางบี บอกต่ออีกว่า หลังจากน้องสาวตน ได้ทิ้งลูกชายไปตั้งแต่อายุ 1 ปี พร้อมกับพี่สาวและน้อง2คนก็เอามาอยู่กับยาย และตนเลี้ยงมาแต่เล็กโตขึ้นมาก็ไปทำงานมีครอบครัว ส่วนนายโตก็มาอยู่บ้านหางานทำ แต่ชอบดื่มสุรา และก็เสพยาบ้า แต่ก็จะมีนิสัยเป็นคนเก็บกดไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน ซึ่งหลังทราบว่าหลานชายไปทำเรื่องไม่ดีกับน้องสาวของตน ตนก็ได้สอบถามน้องสาวและไปดูที่บ้านเกิดเหตุ ซึ่งตนก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าหลานชายจะทำเช่นนั้น และอีกอย่างน้องสาวของตนก็จะไม่ถูกกับลูกชาย เพราะเคยมาบ่นให้ฟังว่าทำอย่างไรจะให้ลูกชายหนีไปไม่อยากให้อยู่ด้วยที่บ้าน เนื่องจากลูกชายชอบกินเหล้าและเสพยากลัวว่าจะทำร้ายน้องสาวของตน ซึ่งตนคิดว่าอาจจะเป็นประเด็นหนึ่งที่น้องสาวตนไปแจ้งความจับลูกชาย โดยตนคิดว่าอยากให้แจ้งแค่ตำรวจในพื้นที่ก็พอไม่ต้องไปร้องเรียนกับมูลนิธิปวีณา เพราะถ้าลูกพ้นโทษออกมาจะอยู่ในสังคมได้อย่างไรไม่สงสารลูกบ้าง แต่ถ้าหลานชายของตนทำผิดจริงก็ต้องปล่อยไปตามกระบวนของกฎหมายต่อไป
โดย - เศกสันติ กัลป์ยาณวิสุทธิ์