18 กันยายน 2564 หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) จัดทำแนวทางฉีดวัคซีน "ไฟเซอร์" ในเด็ก 12-17 ปี จำนวนประมาณ 4.5 ล้านคน เพื่อสร้างความปลอดภัยในการเปิดเรียน บนความสมัครใจของเด็กและผู้ปกครอง คาดเริ่มฉีด 4 ต.ค.นี้ โดยสธ.ได้ย้ำว่า การฉีดวัคซีนไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการ เปิดเรียน ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่การ ฉีดวัคซีน ช่วยให้มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
เด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนก็เข้าเรียนได้ ร่วมกับการเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค ภายใต้การพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด แต่อาจมีผู้ปกครองบางส่วนที่ยังมีความกังวลหรือข้อสงสัยในการฉีดวัคซีนให้กับลูกหลาน เพื่อคลายความกังวล เนชั่นออนไลน์ จึงได้รวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนสำหรับเด็ก ดังนี้
ก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ฉีดวัคซีนให้แก่เด็กกลุ่มเสี่ยงไปบ้างแล้ว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ฯลฯ และเตรียมฉีดให้เด็กอีก 5 ล้านคนทั่วประเทศ
สำหรับในต่างประเทศ การฉีดวัคซีน “ไฟเซอร์” ให้กับเด็ก คณะกรรมการร่วมด้านวัคซีนและภูมิคุ้มกัน (JCVI) ของประเทศอังกฤษ มีมติแนะนำให้เด็กอายุระหว่าง 12-15 ปี 200,000 คน ที่มีโรคประจำตัว เข้ารับการฉีดวัคซีน แต่ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนให้เด็กในกลุ่มอายุเดียวกันที่มีสุขภาพดี โดยให้เหตุผลว่าในตอนนี้ ผลดีด้านสุขภาพที่จะได้จากการฉีดวัคซีนถือว่ายังน้อยเกินไป
อย่างไรก็ตามในขณะนี้พบว่า หลายชาติในสหภาพยุโรป ทั้ง ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และ ฮ่องกง เป็นต้น ได้ฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปเช่นกัน
ผลข้างเคียง หรือข้อพึงระวังหรือไม่ ผลงานวิจัยในต่างประเทศ ในกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนชนิด mRNA อย่างไฟเซอร์และโมเดอร์นา พบว่า มีความเสี่ยงเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กผู้ชายหลังรับวัคซีนโดสที่ 2 อาจทำให้เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นแรง แต่อาการจะหายไปเองในไม่กี่วัน
สถิติจากสหรัฐอเมริกา พบว่า จำนวนเด็กที่เจอผลข้างเคียงน้อยมาก ในจำนวนเด็กอายุ 12-17 ปี 1 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ จะมีราว 60 คน ที่เจออาการข้างเคียงนี้ ซึ่ง 8 คนในจำนวน 1 ล้านคนเป็นเด็กผู้หญิง แต่การติดโควิดก็ส่งผลต่อสุขภาพเด็กได้เหมือนกัน รวมถึงมีผลต่อหัวใจพวกเขาด้วย คำถามคือความเสี่ยงนั้นมากแค่ไหน ซึ่งยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดได้ เพราะไม่มีข้อมูลเรื่องผลกระทบของอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในระยะยาว และสหรัฐอเมริกา ได้เดินหน้าฉีดวัคซีนให้เด็กต่อ โดยตอนนี้ฉีดวัคซีนเด็กอายุ 12-15 มากกว่า 10 ล้านคนแล้ว ด้วยเชื่อว่า ความเสี่ยงจากโควิดมีมากกว่า ความเสี่ยงจากอาการข้างเคียงของวัคซีน ในขณะที่ประเทศ ฝรั่งเศส อิตาลี แคนาดา อิสราเอล และไอร์แลนด์ ก็ดำเนินการเช่นเดียวกัน
ส่วนในประเทศไทย พบ 1 ราย ในเด็กกลุ่มเสี่ยงอายุ 13 ปี มีภาวะโรคอ้วน แต่สามารถเข้ารับการรักษาได้ทัน ปัจจุบัน หายเป็นปกติแล้ว
อย่างไรก็ตาม กรณีมีประวัติ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และ ภาวะหัวใจล้มเหลวมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนฉีดวัคซีนชนิด mRNA
โรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดรัฐบาลและเอกชน
สถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โรงเรียนพระปริยัติธรรม กองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ
สถาบันการศึกษาปอเนาะ
สถาบันการศึกษาอื่นๆ ที่มีนักเรียนวัยเดียวกันกำลังศึกษาอยู่ เช่น โรงเรียนเตรียมทหาร กระทรวงกลาโหม โรงเรียนคนพิการ กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โรงเรียนในสังกัด อปท. เป็นต้น
สำรวจเป้าหมาย จัดทำแผนจัดสรร และกำหนดช่วงเวลาเข้ารับวัคซีน กำหนดสถานบริการฉีดวัคซีนให้กับแต่ละโรงเรียน โดยประสานผู้บริหารโรงเรียนเพื่อนำนักเรียนเข้ารับวัคซีน พร้อมกับกำกับติดตามรายงานผลการให้ให้บริการในระบบ MoPH IC
นอกจากฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนแล้ว จากข้อมูลขณะนี้ พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษารัฐ และเอกชน ได้รับวัคซีนไปแล้ว 72% เหลือประมาณ 1.7 แสนคน ที่รอฉีดวัคซีนอยู่
วันที่ 10-17 กันยายน โรงเรียน/สถานศึกษา จัดเตรียมรายชื่อ และจำนวนนักเรียน โดยระหว่างนั้น ศธ.และ สธ.จัดประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.) สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษา (สพม.)และอาชีวศึกษาจังหวัด (อศจ.) ซักซ้อมความเข้าใจการฉีดวัคซีน และการทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง
วันที่ 17-22 กันยายน โรงเรียน/สถานศึกษาจัดประชุมทำความเข้าใจ ให้ข้อมูลกับผู้ปกครองในการฉีดวัคซีนให้เด็ก
วันที่ 21-24 กันยายน โรงเรียน/สถานศึกษาเชิญผู้ปกครองลงนามแจ้งความประสงค์ (ยินยอม) ให้นักเรียนเข้ารับวัคซีน และหาก สธ.จัดทำแบบสำรวจ และใบยินยอมบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับนักเรียน/ นักศึกษา ศธ.จะเร่งเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อให้สถานศึกษานำไปให้ผู้ปกครองกรอกต่อไป
วันที่ 25 กันยายน โรงเรียน/สถานศึกษา นำส่งบัญชีรายชื่อนักเรียนที่ประสงค์รับวัคซีนไฟเซอร์แก่ผู้อำนวยการ สพม.หรือ อศจ.แล้วนำส่ง ศธจ.
วันที่ 26 กันยายน ศธจ./ ผู้อำนวยการ สพท. / อศจ./ ผู้แทนหน่วยงานการศึกษาในจังหวัดประชุมสรุปจำนวน และรายชื่อนักเรียนเพื่อนำส่งสาธารณสุขจังหวัด
วันที่ 28-30 กันยายน สาธารณสุขจังหวัด วางแผนการรับวัคซีน และกำหนดการฉีดวัคซีนรายโรงเรียน
วันที่ 1 ตุลาคม โรงเรียน/สถานศึกษา รับทราบกำหนดการ และจัดเตรียมสถานที่
วันที่ 4 ตุลาคม เริ่มการฉีดวัคซีนแก่นักเรียน