งานนีัได้รับเกียรติจาก นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มากล่าวปาฐกถาพิเศษ นายฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด มหาชน) มาเป็นประธานเปิดงาน โดยนายฉายเกริ่นถึงปัญหาข่าวปลอมว่า
“ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังมีผลกระทบอย่างมากในสังคมไทย และยังเป็นปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ทั้งในส่วนของการแก้ไขและการเฝ้าระวังไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอม
“ในนามสื่อเนชั่นกรุ๊ป เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะการเป็นสถาบันสื่อมืออาชีพด้วยระบบการบริหารของกองบรรณาธิการที่ยึดมั่นในการนำเสนอข้อเท็จจริงของข้อมูลข่าวสาร และที่สำคัญคือการทำหน้าที่ ‘ตรวจสอบ’ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับสังคมเพื่อประโยชน์”
เนื่องจาก ข่าวปลอม (Fake News) ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความตื่นตระหนก และอาจนำมาสู่ปัญหาอื่นๆ อีกสารพัน การจัดงาน Virtual Forum หยุดข่าวปลอม ประเทศไทย จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้ ก่อนสร้างหรือขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ระวี ตะวันธรงค์ บรรณาธิการบริหาร The Nation Thailand–Spring News และนายกสมาคมผู้สื่อข่าวออนไลน์ ฉายภาพข่าวปลอมที่เกิดขึ้นในระดับโลกว่า
ด้าน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงข่าวปลอมว่า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกและแพร่หลายในระบบอย่างรวดเร็ว จนผู้ได้รับข่าวสารไม่สามารถตรวจสอบทันว่า เป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอม
“ขณะที่เราจะพัฒนาประเทศเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล เราต้องสร้างความปลอดภัย ความเชื่อมั่นให้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะในด้านการสื่อสาร ปัญหาข่าวปลอมเกิดขึ้นทั่วโลกและแพร่หลายอย่างรวดเร็ว จนผู้ได้รับข่าวสารไม่ทันตรวจสอบว่า เป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอม เราจึงต้องมาร่วมกันแก้ปัญหานี้”
กล้า ตั้งสุวรรณ จากไวซ์ไซท์ กล่าวว่า ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนโซเชียลมีเดียได้ เพราะเป็นเรื่องของทุกคนและมีผลต่อโลกใบนี้ และยกตัวอย่างประกอบ
“ข่าวปลอมเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น ข่าวนักเรียนเทพศิรินทร์ที่ถูกนำไปใส่เนื้อหาปลอม ใช้รูปจริง แต่เนื้อหาเป็นอีกเรื่อง โดยข่าวนี้ ไวซ์ไซท์พบว่า มีมากถึง 249,000 engagements”
“ถ้าข่าวปลอมมี engagement เยอะ แสดงว่าข่าวปลอมนั้นมีประสิทธิภาพ
ทำให้คนเชื่อ เราจึงต้องร่วมมือกันและใช้นวัตกรรมลดการแพร่ระบาด นั่นคือ ลด engagement ของข่าวปลอม”
สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact แพลตฟอร์มคนไทยที่เปิดให้ทุกคนร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือร่วมเป็น Fack Checker
“หัวใจสำคัญที่จะสู้ข่าวปลอมคือ เราต้องมีเสรีภาพสื่อในการนำเสนอข่าว ข้อเท็จจริง ขั้นแรกคือ เช็ก ขั้นสอง เช็ก ขั้นสาม ซูเปอร์เช็ก ดังที่ยูเนสโก้บอกว่า ให้ธำรงเสรีภาพของสื่อเอาไว้ เพราะสื่อต้องมีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและระมัดระวังว่าจะไม่ปล่อยข่าวลวงให้แพร่ออกไป และต้องปราศจากความกลัวกับความลำเอียง เพราะความกลัวทำให้ไม่กล้าเสนอข้อเท็จจริง และถ้าเราเลือกข้าง ก็จะทำให้นำเสนอความจริงเพียงด้านเดียว”
Jenna Hand, Misinformation Policy Manager, Facebook Thailand
ตัวแทนจากโซเชียลมีเดีย Facebook ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก กล่าวถึงวิะีจัดการข่าวปลอมว่า
“3 กลยุทธ์ที่เฟซบุ๊กใช้ตรวจสอบข่าวปลอม คือ Remove ลบคอนเทนต์ที่บ่งบอกถึงความรุนแรง, คลิปปลอม, ข้อมูลปลอม Reduce ลดการมองเห็น ลดการกระจายข่าวผิดๆ บิดเบือน หรือแชร์ข่าวปลอมซ้ำๆ และ Inform การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง
มี Third Party เข้ามาร่วมให้ข้อมูล ตลอดจนการตั้งค่าเตือนก่อนจะแชร์”
“ประเด็นที่เกี่ยวกับโควิด-19 เช่น มีการให้ข้อมูลผิดๆ ทำให้คนกลัววัคซีน กลัวผลข้างเคียง แล้วก็ไม่ไปรับวัคซีน เฟซบุ๊กใช้ A.I. ช่วยตรวจจับ พบว่ามีคอนเทนต์ที่ทำให้เข้าใจผิดมากถึง 20 ล้านคอนเทนต์ นับถึงเดือนมิถุนายน 2021 จึงจัดการลบออก และยังลบแอคเคานต์เฟซบุ๊กออกจากระบบมากกว่า 6 ล้านแอคเคานต์”
และสุดท้าย ตัวแทนจากแพลตฟอร์มระดับโลก Jean-Jacques Sahel, Government Affairs Senior Manager on Content Regulation and Access to Information, Google Asia Pacific เผยถึง หลัก 5 ข้อที่ Google ใช้สู้ข่าวปลอม
“ความร่วมมือสำคัญมาก เราต้องทำงานแบบ local สร้างเครือข่าย มีคนท้องถิ่นเข้าร่วม มีแพลตฟอร์มดิจิทัล ช่วยกันทำให้ข่าวปลอมหรือความเข้าใจผิดต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าในการตรวจจับ เช่น Deepfake, Audio Fake ได้ และมีนโยบายกำกับดูแลเพื่อป้องกันหรือบริหารจัดการข่าวปลอม”
Jean-Jacques Sahel กล่าวปิดท้าย