svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

ผลวิจัยของประเทศอังกฤษ เผย สายพันธุ์เดลตารุนแรงกว่าสายพันธุ์อัลฟา 2 เท่า

29 สิงหาคม 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ผลวิจัยล่าสุดของประเทศอังกฤษ เผย โควิดสายพันธุ์เดลตารุนแรงกว่าอัลฟา 2 เท่า ทำให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนาน พร้อมระบุว่า วัคซีนไฟเซอร์ Pfizer มีประสิทธิผลในการป้องกันเดลต้าไม่ให้เจ็บป่วยหนักได้ 96% ส่วน AstraZeneca มีประสิทธิผล 92%

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ให้ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ blockdit "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยระบุว่า ...

"ไวรัสสายพันธุ์ Delta (เดลต้า) รุนแรงกว่าสายพันธุ์ Alpha (อัลฟา) ถึง 2 เท่า ทำให้ป่วยเป็นโควิดจนต้องนอนโรงพยาบาล"

เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าไวรัสก่อโรคโควิด-19 เป็นไวรัสโคโรนาลำดับที่เจ็ด ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมเดี่ยวอาร์เอ็นเอ ( RNA ) จึงมีการกลายพันธุ์ได้ง่ายโดยธรรมชาติ  ปัจจุบันกลายพันธุ์ไปแล้วมากกว่า 39 สายพันธุ์ โดยมีสายพันธุ์หลักที่เรียกว่า VOC : Variant of Concern  รวม 4 สายพันธุ์ คือ อัลฟา เบต้า แกมม่า และเดลต้า แต่สายพันธุ์ที่เป็นประเด็น ทั้งความสามารถในการแพร่ระบาดและการก่อให้เกิดอาการรุนแรง คือ สายพันธุ์อัลฟาและเดลตา

ผลวิจัยของประเทศอังกฤษ เผย สายพันธุ์เดลตารุนแรงกว่าสายพันธุ์อัลฟา 2 เท่า

ในประเด็นเรื่องความสามารถในการแพร่ระบาด ได้ข้อยุติเป็นที่เรียบร้อยว่า ไวรัสสายพันธุ์เดลตามีความสามารถในการแพร่ระบาดมากกว่าสายพันธุ์อัลฟ่ามากทีเดียว (40-60%) จึงปรากฏในประเทศต่างๆว่า เมื่อสายพันธุ์เดลตาไประบาดในประเทศที่มีสายพันธุ์อัลฟาเป็นหลักอยู่ก่อนแล้ว ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน สายพันธุ์เดลตาก็จะกลายเป็นสายพันธุ์หลักแทน และสายพันธุ์อัลฟาก็จะจางหายไป พบได้ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ตลอดจนในประเทศไทยในปัจจุบัน

แต่ก็ยังมีคำถามที่จะต้องตอบต่อไปว่า แล้วความรุนแรงในการทำให้เกิดอาการของโรค สายพันธุ์อัลฟากับสายพันธุ์เดลตา จะแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด


มีงานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Lancet Infectious Diseases ซึ่งทำโดย PHE : Public Health England และ MRC : Medical Research Council ของประเทศอังกฤษ ได้ติดตามผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสจำนวน 43,338 ราย ในช่วงระยะเวลา 29 มีนาคมถึง 23 พฤษภาคม 2564 ในช่วงเวลาดังกล่าว จะมีไวรัสสายพันธุ์อัลฟาเป็นหลักก่อน แล้วจึงค่อยมีสายพันธุ์เดลตามาเบียดแทรกในภายหลัง โดยพบสายพันธุ์อัลฟา 80% (34,656 ราย) สายพันธุ์เดลตา 20% (8682 ราย) แต่ในสัปดาห์สุดท้ายของการรวบรวมคือวันที่ 17-23 พฤษภาคม พบสายพันธุ์เดลตามากถึง 65%  ( 3973 รายจาก 6090 ราย)

เมื่อทำการศึกษาเปรียบเทียบอาการป่วยที่รุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ( Hospitalization ) พบว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา มีจำนวนที่ต้องเข้าโรงพยาบาลมากเป็นสองเท่าของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์อัลฟา

ผลวิจัยของประเทศอังกฤษ เผย สายพันธุ์เดลตารุนแรงกว่าสายพันธุ์อัลฟา 2 เท่า

 

จึงทำให้ได้ผลสรุปในเบื้องต้นที่ชัดเจนว่า ไวรัสสายพันธุ์เดลตามีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อัลฟา ในขณะเดียวกันก็พบว่า กลุ่มที่มีการติดเชื้อไวรัสเป็น

1.ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเป็นส่วนใหญ่ คือ 74% ( 32,078 ราย )
2.ได้รับวัคซีนครบถ้วนสองเข็มเพียง 1.8% ( 794 ราย ) 
3.ได้รับวัคซีนหนึ่งเข็ม ยังมีภูมิคุ้มกันไม่พอ 24% ( 10,466 ราย )

นอกจากนั้นยังพบว่า วัคซีน Pfizer สามารถป้องกันหรือมีประสิทธิผลในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตาไม่ให้เจ็บป่วยหนักได้ 96% ส่วนวัคซีน AstraZeneca มีประสิทธิผล 92%

จึงพอสรุปได้ในภาพรวม ดังนี้

1.ไวรัสสายพันธุ์เดลต้า แพร่ระบาดได้รวดเร็วกว้างขวางกว่าไวรัสสายพันธุ์อัลฟา
2.ไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ก่อให้เกิดอาการรุนแรง จนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่าไวรัสสายพันธุ์อัลฟา
3.ผู้ที่ฉีดวัคซีนสองเข็ม มีประสิทธิผลในการป้องกันไวรัสได้ดีทั้งสายพันธุ์อัลฟาและสายพันธุ์เบตา แม้จะมีประสิทธิผลลดลงเป็นลำดับเมื่อเวลาผ่านไปก็ตาม
4.วัคซีนของ Pfizer มีประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อที่มีอาการหนักได้ 96% วัคซีนของ AstraZeneca มีประสิทธิผล 92%

ผลวิจัยของประเทศอังกฤษ เผย สายพันธุ์เดลตารุนแรงกว่าสายพันธุ์อัลฟา 2 เท่า

logoline