svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

SCB ชี้โควิดระบาดรุนแรงทุบศก. CLMV ปี 64 ชะลอกว่าคาด

27 สิงหาคม 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

การระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงขึ้นในภูมิภาค และการฉีดวัคซีนที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจ CLMV ชะลอลงกว่าคาดในปี 2564


27 สิงหาคม 2564 การระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ในภูมิภาคตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2564 สร้างแรงกดดันต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ CLMV แม้ว่าการส่งออกที่ยังขยายตัวได้สูงอาจจะช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบได้บางส่วน ด้านอุปสงค์ภายในประเทศ การระบาดทั่วทั้งภูมิภาค CLMV ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ส่งผลให้ภาครัฐต้องยกระดับความเข้มงวดของมาตรการควบคุมโรค ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับลดลงและสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่ออุปสงค์ในประเทศที่เปราะบางอยู่เดิมก่อนแล้ว โดยการควบคุมการระบาดของ COVID-19 ระลอกปัจจุบัน นับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของภูมิภาค โดยเฉพาะในเวียดนามที่สามารถควบคุมการระบาดในระลอกก่อนและจำกัดผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในได้เป็นอย่างดี แต่ในครั้งนี้ เวียดนามมีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดใน CLMV ที่สูงถึง 10,000 รายต่อวันในเดือนมิถุนายน ทำให้รัฐบาลเวียดนามต้องประกาศมาตรการ lockdown ทันทีในเมืองสำคัญช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม เช่นเดียวกับเมียนมาที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดถึง 6,000 รายต่อวันในเดือนกรกฎาคม แต่บุคลากรทางการแพทย์กลับไม่เพียงพอจากความไม่สงบทางการเมืองและขบวนการอารยะขัดขืนโดยมวลชน ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อในกัมพูชาและสปป.ลาว ที่ราว 1,000 รายต่อวัน แม้ว่าจะไม่สูงเท่ากับอีกสองประเทศ และผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่ในสปป.ลาว เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ แต่จำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าวก็ยังสูงมากกว่าการระบาดในรอบก่อนหน้า ทำให้การจำกัดการเดินทางต้องยกระดับความเข้มงวดเพิ่มขึ้นและขยายระยะเวลาต่อไป ดังนั้น การควบคุมสถานการณ์การระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและการผ่อนคลายมาตรการ lockdown ภายในไตรมาส 3 – 4 ของปี 2564 จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลกระทบต่ออุปสงค์ภายในประเทศลดลงได้ 

SCB ชี้โควิดระบาดรุนแรงทุบศก. CLMV ปี 64 ชะลอกว่าคาด SCB ชี้โควิดระบาดรุนแรงทุบศก. CLMV ปี 64 ชะลอกว่าคาด

สำหรับอุปสงค์ภายนอก ภาคการส่งออกของเศรษฐกิจ CLMV ยังคงส่งสัญญาณการฟื้นตัวแข็งแกร่งท่ามกลางการระบาดของ COVID-19 โดยได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้ว การส่งออกจึงเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของภูมิภาค โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของเวียดนามขยายตัวได้สูงอย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานจากการระบาดของ COVID-19 ในวงกว้างที่อาจทำให้มีการปิดโรงงานเพิ่มขึ้น ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ และอาจกลายเป็นปัจจัยฉุดภาคการส่งออกได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2564 เป็นต้นไป  

 

ในระยะต่อไป ความคืบหน้าด้านการฉีดวัคซีนจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ CLMV แต่ในปัจจุบัน อัตราการฉีดวัคซีนในภูมิภาคยังคงอยู่ในระดับต่ำและจะยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ได้ภายในปี 2564 จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2564 อัตราการฉีดวัคซีนที่ครบโดสแล้วมีความก้าวหน้าสูงสุดในกัมพูชา (47% ของประชากร) และมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ภายในช่วงต้นปี 2565 อย่างไรก็ตาม อัตราการฉีดวัคซีนครบโดสในสปป.ลาว เมียนมา และเวียดนามยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 20% 2.8% และ 1.8% ตามลำดับ (ข้อมูลล่าสุดของเมียนมา ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2564) ทำให้การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศเหล่านี้อาจล่าช้าออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงขึ้นและการฉีดวัคซีนที่เป็นไปอย่างช้า ๆ ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 ทำให้ EIC คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ CLMV ยังคงเปราะบางและล่าช้า และต้องอาศัยความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์การระบาด

นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ CLMV จะต้องพึ่งพาขนาดและประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังและการเงิน โดยเฉพาะการบรรเทาผลกระทบของการระบาดในรอบปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น ความเสี่ยงรายประเทศ อาทิ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในเมียนมา และความสามารถในการชำระหนี้สาธารณะของสปป.ลาว ก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจทำให้การขยายตัวชะลอลง

 

ข้อมูลล่าสุดรายงานว่าการส่งออกจากไทยไปยัง CLMV เร่งตัวสูงในไตรมาส 2 ปี 2564 ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากไทย (TDI) ไป CLMV ลดลงอย่างชัดเจนในไตรมาส 1 ปี 2564 ในไตรมาส 2 ปี 2564 การส่งออกจากไทยไป CLMV เพิ่มขึ้น 42.3%YOY เร่งตัวสูงขึ้นจากเดิมที่ 0.6%YOY ในไตรมาส 1 ปี 2564 โดยการขยายตัวของการส่งออกเป็นไปอย่างทั่วถึงในทุกประเทศ CLMV ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยฐานต่ำปีก่อนหน้าเป็นสำคัญ ทั้งนี้การส่งออกจากไทยไปเวียดนามยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนการขยายตัวหลัก โดยเร่งตัวมาที่ 44.7%YOY ในไตรมาส 2 ปี 2564 จาก 12.9%YOY ในไตรมาสแรก จากการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์เป็นสินค้าหลัก ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากไทยไป CLMV หดตัวอย่างมากที่ -26.7%YOY ในไตรมาส 1 ปี 2564 จากที่ขยายตัวได้ 24.4%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีสาเหตุหลักจากนักลงทุนไทยเลื่อนแผนการลงทุนในเวียดนามออกไปในช่วงการระบาดระลอก 2 ในไทยและระลอก 3 ในเวียดนามในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 นอกจากนี้ การลงทุนของไทยในเมียนมาที่เคยขยายตัวได้ดีในช่วงปี 2563 กลับหดตัวในไตรมาส 1 ปี 2564 ท่ามกลางการระบาดของ COVID-19 และสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ยกระดับขึ้น ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2564 เป็นต้นไป EIC คาดว่ากิจกรรมการค้าของไทยกับกลุ่มประเทศ CLMV จะยังคงขยายตัวได้ และการลงทุนของไทยในภูมิภาคจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยความเร็วในการฟื้นตัวนั้นขึ้นอยู่กับแนวโน้มสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในภูมิภาคและความเสี่ยงรายประเทศ โดยการส่งออกและการลงทุนของไทยในเวียดนามจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก และเป็นไปตามแนวโน้มในระยะยาวของเศรษฐกิจเวียดนามที่มีศักยภาพในการขยายตัวสูง อย่างไรก็ตาม การระบาดระลอกใหม่ในเวียดนามและไทยที่มีความรุนแรงกว่ารอบก่อนอาจสร้างแรงกดดันต่อทิศทางการขยายตัวของการค้าและการลงทุนของไทยในเวียดนามในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคจากการปิดโรงงานยังคงเป็นความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง นอกเหนือจากเวียดนามแล้ว การค้าและการลงทุนของไทยในเมียนมายังคงเผชิญความเสี่ยงสูงในด้านความไม่สงบทางการเมืองที่อาจยกระดับความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้อุปสงค์ภายในประเทศซบเซาลงอีก

logoline