สาธิต เริ่มต้นรับราชการที่กรมสรรพากร ในสำนักแผนภาษีและเติบโตจนเป็นผู้บริหารสำนัก และได้เลื่อนเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร ต่อด้วยผู้ตรวจราชการ รองปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. และ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรคนที่ 22 เมื่อปี 2553
ในระหว่างการสอบสวนคดีทุจริตภาษีมูลค่าเพิ่มช่วงปี 2557 สาธิต ถูกโยกมาเป็นผู้ตรวจราชการ ก่อนจะถูก อ.ก.พ.กระทรวงการคลังมีมติไล่ออกในเวลาต่อมา
คดีทุจริตภาษีมูลค่าเพิ่มที่อื้อฉาวของกระทรวงการคลัง ถูกตรวจพบจากเจ้าหน้าที่สรรพากรบางคน โดยให้ข้อมูลในลักษณะบัตรสนเท่ห์ ส่งไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รวมทั้งกระทรวงการคลังเจ้าสังกัด
ความปกติที่เกิดขึ้นในพื้นที่สรรพากรเขตบางรัก คือมีการคืนภาษีด้วยความรวดเร็วและครั้งละมากๆ เฉลี่ย 500 ล้านบาทต่อครั้ง สำหรับบริษัทค้าเหล็กส่งออก ที่เพิ่งจัดตั้งใหม่ไม่ถึง 6 เดือน ซึ่งขัดกับแนวปฏิบัติของกรมสรรพากร ที่ต้องตรวจสอบความมีอยู่จริงของกิจการ สถานที่ตั้ง และมีการประกอบการค้าจริงหรือไม่
เมื่อรองอธิบดีและผู้ตรวจราชการกรมสรรพากรเห็นความผิดปกติในการคืนภาษีดังกล่าว จึงทำเรื่องเสนอสาธิต ซึ่งเป็นอธิบดีกรมสรรพากรในขณะนั้น เพื่อให้ตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป
แต่หลังจากนั้น สาธิต ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสรรพากร พื้นที่ 22 เขตบางรัก และให้นโยบายผู้ปฎิบัติงานว่า หากผู้เสียภาษียื่นขอคืนภาษีถูกต้อง ก็ควรเร่งคืนภาษี
ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะนั้น กิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว จนนำมาสู่การไล่ออกจากราชการ ก่อนที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง จะมีคำพิพากษาให้จำคุกสาธิตตลอดชีวิต และร่วมกันชดใช้เงิน 3,097,016,533.99 บาท พร้อมริบทองคำแท่งของกลาง น้ำหนัก 77 กิโลกรัม ทองคำแท่งน้ำหนักรวมอีก 7,000 บาท
แม้คดีนี้จะยังไม่ถึงที่สุด แต่จากคำตัดสินของศาลอาญาคดีทุจริตฯ ซึ่งเปรียบเสมือนศาลชั้นต้น ทำให้มั่นใจได้ว่าการทุจริตที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่มีข้อมูลหลักฐานแน่ชัด เป็นเรื่องที่มีใบเสร็จ ตอกย้ำ ว่าเหตุใดไทยถึงอยู่ในอันดับที่ 104 จาก 180 ประเทศทั่วโลกที่มีการทุจริตคอรัปชั่น และน่าจะเป็นเครื่องเตือนใจให้บรรดาข้าราชการไทยปฎิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมากขึ้น