svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

"สาธิต รังคสิริ"เคยปล่อย"โอ๊ค-เอม-ทักษิณ"ไม่เสียภาษีหุ้นชินฯ

19 สิงหาคม 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ย้อนรอย"สาธิต รังคสิริ" ที่ถูกป.ป.ช. ส่งฟ้องยึดทรัพย์ เคยมีส่วนปล่อย "โอ๊ค-เอม-ทักษิณ" ลอยนวลไม่ต้องจ่ายภาษี "หุ้นชินคอร์ป"

นายสาธิต ริงคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร กลายเป็นที่สนใจขึ้นมาทันทีเมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤตคิมิชอบกลาง ตัดสินจำคุกตลอดชีวิต 

 

สำหรับ สาธิต รังคสิริ ภายหลังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบพบว่า ได้รับผลประโยชน์กรณีที่บริษัทเอกชน 25 แห่ง ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยนำเงิน 179 ล้านบาท ไปซื้อทองคำแท่ง และนายสาธิต ยังมีชื่อเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทองคำแท่ง ก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะไต่สวนเพิ่มเติม  และพบว่ามีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท ที่ไม่ได้มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน จึงสั่งอายัดทรัพย์สินไว้ทั้งหมด


จากการตรวจสอบย้อนหลังกลับไปพบว่า นายสาธิต รังคสิริ  ขณะเป็นอธิบดีกรมสรรพากร เป็นคีย์แมนคนหนึ่งที่ทำให้ นายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา ชินวัตร รวมถึง นายทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร รอดจากการถูกเก็บเงินภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป กับกลุ่มทุนเทมาเส็ก มูลค่าสูงถึง 12,000  ล้านบาท

จุดเริ่มต้นจา นางจิตรมณี สุวรรณพูล ขณะเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร แถลงว่า ศาลภาษีกลาง มีคำพิพากษาวันที่ 29 ธ.ค.53 ว่า นายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปตัวจริง อ้างอิงตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่า นายทักษิณ ชินวัตร และ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ป จึงต้องคืนเงิน และทรัพย์สิน มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาทที่อายัดจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา
 

แม้ศาลภาษีกลาง จะมีคำวินิจฉัยว่านายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ป ในสัดส่วนตามที่นายทักษิณ กล่าวอ้าง แต่กรมสรรพากร สามารถอุทธรณ์คดีให้ถึงที่สุด แต่ กรมสรรพากร "ไม่อุทธรณ์ตามสิทธิ์" 

 

นางเสาวนีย์ กมลบุตร รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรจะมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่า มีความจำเป็นต้องยึดตามคำสั่งศาลฎีกานักการเมือง ว่าหุ้นชินคอร์ป เป็นของนายทักษิณ แต่ก็มีความเห็นเพิ่มเติม "เป็นขอบเขตอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากร" สามารถจะวินิจฉัยว่าจะเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปจากนายทักษิณ แทนนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ได้หรือไม่

ปรากฏว่า นายสาธิต รังคสิริ ขณะเป็นอธิบดีกรมสรรพากร ระบุว่า

 

“เรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ต่อจากนี้ไปกรมสรรพากร จะไม่มีการประเมินภาษีคนในตระกูลชินวัตรอีก เนื่องจากผลการตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งคณะกรรมการฯ ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลทั้ง 2 ศาล"

 

ส่วนเรื่องการประเมินภาษี นายทักษิณ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร เป็นผู้วินิจฉัย และเมื่อกรมสรรพากร พิจารณาแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน เพราะกรมสรรพากร ทำตามผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ อีกทั้งหากกรมสรรพากร จะอุทธรณ์คำพิพากษาจะมีค่าธรรมเนียม 23 ล้านบาท กรมสรรพากรจึงหารือไปยังกระทรวงการคลัง ซึ่งกระทรวงการคลังเห็นว่าไม่ควรอุทธรณ์

 

นายแก้วสรร อติโพธิ  อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแต่รัฐ (คตส.) ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของนายสาธิต เพราะหากมีความเห็นไม่ยื่นอุทธรณ์ภาษีนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ก็ควรเรียกเก็บเงินภาษีจาก นายทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ทันที หรือหากคิดว่าเรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณ ไม่ได้ ก็ต้องอุทธรณ์เก็บภาษีจากบุตรทั้งสองคนให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหาย

 

การที่กรมสรรพากร ไม่เก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา แล้ว ยังมาบอกการเก็บภาษีจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องขอดูก่อน ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้ากรมสรรพากร เก็บภาษีหุ้น 1.2 หมื่นล้านบาทจากคนในครอบครัวชินวัตรไม่ได้ ผู้บริหารกระทรวงการคลัง และกรมสรรพากรน่าจะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องการซื้อขายหุ้นชินคอร์ ของบุคคลในครอบครัวชินวัตร ไม่อาจเลี่ยงความรับผิดได้ หลังจากศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้จำคุกคนละ 3  ปี โดยไม่รอลงอาญา 

 

ให้จำคุก น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิด เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร  2 ปี โดยไม่รอลงอาญาเช่นเดียวกัน

 

26 ธ.ค.2562  ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลฏีกา ระบุว่า จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากร ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ บุตรชายคนโต และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาวคนที่ 2 ของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย 

 

เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 5 คน ตามที่วินิจฉัยมาถือว่ามีพฤติการณ์ร้ายแรง จึงไม่สมควร ให้รอการลงโทษแต่ เมื่อพิเคราะห์จากคำให้การของตำเลยที่ 1-4 แล้ว เห็นว่า ยังมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง เห็นควรลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงเหลือ ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุก จำเลยที่ 1-4 คนละ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 คงจำคุกไว้ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 

logoline