การหนีตายของชาวอัฟกันคือภาพประจักษ์สายตาแก่ทั่วทุกมุมโลก ความพยายามหลบหนีลี้ภัยออกจากบ้านเกิดเมืองนอนที่กำลังถูกตาลีบันเข้ายึดครอง ไม่ว่าทางฝั่งพรมแดนที่เริ่มมีคนเล็ดรอดไหลไปหาเพื่อนบ้านอย่างตุรกี หรือภาพความแออัดจากการพยายามหนีตายในสนามบิน ทำให้จำนวนที่นั่งของผู้คนอพยพแน่นขนัดเกินอัตราไปร่วม 4-5 เท่า รวมถึงเหตุสลดอย่างการมีผู้โดยสารพยายามเกาะล้อเครื่องบินดังที่เป็นข่าว
คงยืนยันได้เกินพอว่าในสายตาชาวอัฟกันจำนวนมาก "ตาลีบัน" คือตัวตนและกองกำลังอันน่าหวาดกลัว ทุกสาขาอาชีพต่างกังวลเพราะผลกระทบต่อกองกำลังนี้จะเข้ามาเยือนในทุกมิติ มากสุดคงเป็นกลุ่มผู้หญิงภายในประเทศที่แสดงความหวาดกลัวออกมาชัดเจน พร้อมความกังวลของประชาคมโลกต่อท่าทีของตาลีบันนับจากนี้
แต่อะไรคือสาเหตุต้นตอแห่งความหวาดกลัวเหล่านั้น เราคงต้องย้อนความหลังกันสักหน่อย
กฎหมายชะรีอะฮ์-กฎหมายอิสลามคืออะไร?
กฎหมายชะรีอะฮ์คือ ประมวลข้อกฎหมายที่มาจากคำสอนศาสนาและหลักนิติศาสตร์พื้นฐานของศาสนาอิสลาม โดยโครงสร้างกฎหมายจะครอบคลุมในทุกด้านของบุคคล ตั้งแต่ระบบการปกครอง เศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจ การธนาคาร การทำธุรกรรม ความสัมพันธ์ในครอบครัว หลักอนามัย ไปจนถึงชีวิตประจำวัน หรืออาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าเป็นหลักการใช้ชีวิตของชาวมุสลิมตั้งแต่เกิดจนตาย
พื้นฐานหลักของกฎหมายมาจากคัมภีร์อัลกุรอาน (คัมภีร์รวบรวมวจนะของพระเจ้า) และอัสสุนนะฮ์ (คำสอนและแบบอย่างใช้ชีวิตจากศาสดามูฮัมหมัด) นั่นทำให้กฎหมายฉบับนี้มีความใกล้ชิดกับศาสนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้มีการปรับให้ใช้ดุลพินิจของผู้ตัดสินได้บางส่วนและมีการปรับเปลี่ยนอยู่บ้าง แต่โดยพื้นฐานทางกฎหมาย เนื้อหาแกนกลางไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข ทำให้นี่เป็นกฎหมายเก่าแก่มีกลิ่นอายธรรมเนียมและวัฒนธรรมของชาวตะวันออกกลางอย่างเข้มข้น
จากจำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลามที่มากเป็นอับดับสองของโลก นี่จึงเกี่ยวพันกับการใช้ชีวิตหรือหลักคิดของผู้คนจำนวนมาก ทำให้บางประเทศก็หยิบยกหลักกฎหมายชะรีอะฮ์นี้ไปใช้กันกว้างขวาง มีตั้งแต่การยึดโยงเข้ากับกฎหมายอิสลามเป็นแกนครอบคลุมทุกภาคส่วน หรือการนำมาผสมผสานหลักกฎหมายสากลบางส่วน ขึ้นอยู่กับการนำไปปรับใช้ของประเทศนั้นๆ
อัฟกานิสถานในยุคก่อน กับความรุ่งเรืองที่ถูกบังคับให้สาบสูญ
ใจความของกฎหมายอิสลามคือการกำหนดหลักการใช้ชีวิตของผู้คนหลายด้าน กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษคือผู้หญิงและเด็กผู้หญิง ด้วยสมัยริเริ่มร่างกฎ ดินแดนของชาวอิสลามเป็นสังคมชนเผ่าดั้งเดิม ข้อจำกัดต่อผู้หญิงที่อ่อนแอกว่าจึงมากเป็นพิเศษด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
อีกทั้งการเป็นกฎหมายแห่งความเชื่อและศรัทธาในศาสนาอิสลามเข้มข้น ความรู้สึกต่อต้านศาสนาอื่นหรือความคิดที่แตกต่างจึงมากเป็นพิเศษ ความเชื่อชนิดอื่นจึงไม่ค่อยได้การยอมรับภายในสังคม และนั่นยิ่งทวีความร้ายแรงเมื่อนำมาใช้งานผ่านน้ำมือตาลีบัน
ก่อนการปกครองของตาลีบันในปี 1994 ผู้หญิงอัฟกานิสถานได้รับสิทธิและเสรีภาพการใช้ชีวิตไม่ต่างจากเพศชาย สามารถไปไหนมาไหนได้ตามปกติ เข้ารับการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นประถมไปถึงมหาวิทยาลัย มีรัฐธรรมนูญให้สิทธิความเท่าเทียมระหว่างเพศ ถึงขนาดมีแฟชั่นด้วยเสื้อผ้าการแต่งตัวแบบตะวันตก รวมถึงมีหน้าที่การงานมั่นคงตั้งแต่ครู เจ้าหน้าที่รัฐ แพทย์ ไปจนผู้แทนสภานิติบัญญัติของอัฟกานิสถานทีเดียว
เช่นเดียวกับพื้นเพของอัฟกานิสถานเองแม้จะเป็นแหล่งรวมผู้ศรัทธาเหนียวแน่นในศาสนาอิสลาม แต่นี่เป็นพื้นที่ร่องรอยอารยธรรมของพุทธศาสนาเช่นกัน เช่น พระพุทธรูปแห่งบามิยัน พระพุทธรูปแกะสลักเข้าไปในหน้าผาสององค์ หลักฐานยืนยันความรุ่นเรืองของพุทธศาสนาของดินแดนแถบนี้ ว่าในอดีตที่นี่มีพระสงฆ์นับพันรูปอาศัยอยู่
รากเหง้าความหาดกลัวฝังลึกจากตาลีบันในอดีต
ความเจริญเหล่านี้ถูกคุกคามร้ายแรงหลังการขึ้นปกครองของตาลีบันในปี 1996 – 2001 ช่วงเรืองอำนาจของตาลีบัน วิถีชีวิตและกิจกรรมทั้งหลายของชาวอัฟกันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผู้หญิงถูกบังคับให้สวมใส่ผ้าคลุมร่างกายทุกส่วนมิดชิดเหลือแค่ดวงตา ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนหากไม่มีผู้ชายอยู่ด้วย ห้ามไม่ให้ผู้หญิงปรากฏตัวตามสื่อ จำกัดการเรียนหนังสือหรือทำงานบังคับให้อยู่แต่ในบ้าน รวมถึงกฎระเบียบอื่นมากมายจำกัดสิทธิของผู้หญิง
ชะตากรรมของบามิยัน พระพุทธรูปเก่าแก่ถูกทำลายย่อยยับไม่เหลือซาก ไม่เหลือเค้าโครงความยิ่งใหญ่ของมรดกโลกชิ้นสำคัญเอาไว้อีก แม้จะมีความพยายามซ่อมแซมในปัจจุบันก็ตาม
การควบคุมรวมถึงวัฒนธรรมตะวันตก หรือสิ่งใดก็ตามที่ตาลีบันเห็นว่านอกรีต ผิดหลักศาสนาอิสลามของพวกเขาล้วนถูกจำกัด ตั้งแต่นักดนตรีถูกสั่งห้ามไม่ให้เล่นเครื่องดนตรีจนบางคนถึงขั้นถูกตัดนิ้ว, ช่างแต่งหน้าไม่สามารถเปิดร้านในที่สาธารณะ, ช่างทำว่าวถูกห้ามขายด้วยข้อหาทำให้ผู้คนหันเหจากการละหมาดไม่สนใจศาสนา ไปจนผู้ชายเองยังรู้สึกโดนจำกัดสิทธิในการตัดผมโกนหนวดแบบอื่นนอกจากที่กำหนดไว้
การทำลายล้างของตาลีบันเกิดขึ้นและกระทบกับทุกภาคส่วน ทำลายชีวิตของผู้คนอัฟกันไปมากมาย ดังนั้นไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้คนจึงหวาดกลัวพากันหลบหนีออกนอกประเทศ ในเมื่อในสายตาของพวกเขา การไปตายเอาดาบหน้า ยังดีกว่าต้องมีชีวิตในนรกทั้งเป็นแบบนั้นอีก
ตาลีบันโฉมใหม่ที่ยังเฝ้ารอการพิสูจน์
จากถ้อยแถลงของตาลีบันนับแต่การประกาศยึดกรุงคาบูลเป็นต้นมา แสดงให้เห็นว่าวิสัยทัศน์เปลี่ยนแปลงไปบางส่วน เช่น การประกาศรับรองสิทธิและความเท่าเทียมของสตรีภายใต้กรอบความเป็นอิสลาม, ห้ามนักรบตาลีบันเข้าปล้นชิงโจมตีสถาบันการเงิน, ประกาศเลิกปลูกฝิ่นยุติวงจรผลิตยาเสพติด, นิรโทษกรรมทุกคนที่เคยทำงานให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ หรือประกาศยุติการต่อสู้ ไม่ต้องแก้แค้นกันไปกว่านี้
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความแตกต่างกับตาลีบันในอดีตที่ไม่สนใจสิ่งอื่นนอกจากสร้างรัฐศาสนา ทำให้เห็นว่าช่วงเวลายี่สิบปีที่ผ่านมาพวกเขาปรับตัวเข้าหาโลกมากขึ้น ถือเป็นสัญญาณดีต่อทั้งอัฟกานิสถานและประชาคมโลก
แต่นั่นเป็นภาพจากด้านเดียว เมื่อความจริงยังมีข่าวผู้หญิงไม่ยอมสวมผ้าคลุมถูกยิงตายปรากฏออกมาให้เห็น เริ่มมีเสียงเรียกร้องและการกดดันให้ผู้หญิงบางส่วนออกจากหน้าที่ นั่นทำให้ภาพฝันร้ายของของผู้คนอัฟกันย้อนกลับมาอีกครั้ง จนทั่วทั้งประเทศตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว
หากตาลีบันต้องการพิสูจน์ความเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเข้าหาประชาคมโลก สิ่งแรกที่ต้องทำคือจัดสรรนักรบตัวเองให้อยู่ในระเบียบ ควบคุมความปลอดภัยของดินแดนพื้นที่ใต้การปกครอง รวมถึงผ่อนข้อบังคับจากกฎหมายอิสลามสุดโต่งของพวกเขาลงบางส่วน เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเว้นพักกลับมาใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง
ซึ่งนั่นคือเรื่องที่เราต้องคอยเฝ้ามองต่อจากนี้