svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

"อย่าด้อยค่าวัคซีน" ที่ผ่านกรมอนามัยโลก WHO

18 สิงหาคม 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ผู้อำนวยการกองควบคุมโรค ติง อย่าด้อยค่าวัคซีน ที่ผ่าน WHO ถือว่ามีประสิทธิภาพรวมถึงซิโนแวค เตรียมซื้ออีก 12 ล้านโดส เพื่อนำมาฉีดไขว้กับแอสตร้าเซเนก้ากระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เร็วขึ้น

วันที่ 18 สิงหาคม 2564 นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน เปิดเผยตอนหนึ่งในการแถลงข่าว สถานการณ์โรคโควิด 19 และประสิทธิผลวัคซีนในประเทศไทย ระบุว่า ประเทศไทยกำลังเตรียมที่จะจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคอีก 12 ล้านโดส เพื่อนำมาใช้ในการฉีดไขว้กับวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า โดยจะฉีดซิโนแวคเป็นเข็มที่ 1 และจากนั้นใน 3-4 สัปดาห์ จะฉีดเข็มที่ 2 เป็นแอสตร้าเซเนก้า  หลังจากผลการศึกษาพบว่า "สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี"

 

ประสิทธิผลของวัคซีนทุกตัวที่องค์การอนามัยโลก รับรอง ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคือ ลดอัตราการเสียชีวิต  ลดการเจ็บป่วยรุนแรง เพราะฉะนั้น “อย่าด้อยค่าวัคซีน” โดยเฉพาะซิโนแวค ยังได้ประโยชน์ดีอยู่ เมื่อนำมาฉีดไข้ว  จะไม่ต้องรอ 3 เดือน เพราะถ้าใช้สูตรไขว้กันระยะห่าง  3-4 สัปดาห์ ก็สามารถฉีดเข็มสอง (แอสตร้าเซเนก้า) ได้ ก็จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีมาก ทำให้เกิดประโยชน์ และเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้เร็วขึ้น นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กล่าว

ด้าน นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวเสริมเรื่องประสิทธิผลการฉีดวัคซีนในบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศไทยด้วยวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม หลังจากที่มีการกลายพันธุ์ (พ.ค.- ก.ค.64)  พบว่า บุคลากรที่ติดเชื้อแยกเป็นกลุ่มที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม (นานเกิน 14 วัน) จำนวน 2,154 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบที่ติดเชื้อและไม่ได้ฉีดวัคซีนมาก่อน 598 ราย ซึ่งเป็นศึกษาแบบ matched case-control พบว่า ป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต 98% และป้องกันการติดเชื้อ 72% และมีแนวโน้มการป้องกันการติดเชื้อคงที่คือไม่ต่ำกว่า 70% เมื่อเวลาผ่านไป ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ก็ตาม

ส่วนผลการศึกษาหลังการฉีด วัคซีนแอสตร้าเซเนก้า ป้องกันการติดเชื้อและการป่วย 96% เมื่อได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม และ ป้องกันการติดเชื้อและการป่วย 88% เมื่อได้รับวัคซีน 1 เข็ม
 
สำหรับ ข้อมูลล่าสุด ถึง 16 สิงหาคม 2564 ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด 19 สะสม 24,100,631 โดส เป็นเข็มแรก 18,370,997 ราย คิดเป็น 25.5% ของประชากร เข็มสอง 5,228,157 ราย คิดเป็น 7.3% และเข็มสาม 501,477 ราย ซึ่งจากการตรวจสอบและปรับปรุงฐานข้อมูล เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา พบการฉีดวัคซีนเข็มที่สามเป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งหมด ส่วนข้อมูลการฉีดเข็มสามในประชาชนกลุ่มอื่นๆ เกิดจากความเคลื่อนของระบบในการดึงข้อมูล

logoline