หลังจากที่ "สิงโตคำราม" ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเอาชนะ "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงอดีตแชมป์ 3 สมัย ไปได้อย่างงดงามด้วยสกอร์ 2-0 ทำให้บรรดาสื่อมวลชนรวมถึงเหล่าแฟนบอลชาวอังกฤษเริ่มมองถึงการคว้าแชมป์ยูโรสมัยแรกกันแล้ว ทำให้กระแส "Footballs coming home" ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งหลังห่างหายไปกว่า 2 ทศวรรษ
สำหรับสโลแกน "Footballs coming home" มีขึ้นในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 1996 ที่อังกฤษ โดยเจ้าภาพได้ชูประเด็นต้นกำเนิดฟุตบอลสมัยใหม่ที่ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษ ดังนั้นการได้เป็นเจ้าภาพจึงเหมือนกับการต้อนรับ "ฟุตบอล" ที่ได้กลับสู่บ้านเกิดอีกครั้ง
ซึ่งด้วยความที่อังกฤษห่างหายจากความสำเร็จมานาน โดยได้แชมป์รายการใหญ่แค่ครั้งเดียวคือในศึกฟุตบอลโลก 1966 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ ดังนั้น ศึกยูโร 1996 พวกเขาจึงหมายมั่นปั้นมือเป็นพิเศษที่จะได้เห็น "สิงโตคำราม" คว้าแชมป์ให้ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝัน เมื่อพ่ายจุดโทษต่อ "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี ในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งคนที่ยิงจุดโทษไม่เข้าของอังกฤษในครั้งนั้นก็คือ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือ "สิงโตคำราม" ในปัจจุบันนี่เอง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา อังกฤษ ผ่านศึกฟุตบอลยูโร 5 ครั้ง ฟุตบอลโลก 5 ครั้ง เปลี่ยนกุนซือไป 7 คน แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะฝ่าด่านเข้าไปลุ้นแชมป์ ดีที่สุดก็แค่การผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น จนกระทั่งการเปลี่ยนมาใช้บริการของกุนซือ "คนใน" อย่าง แกเร็ธ เซาธ์เกต ผลงานของทีมก็ดีขึ้นชนิดเหนือความคาดหมาย ด้วยการคว้าอันดับ 4 ในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย
มาถึงศึก "ยูโร 2020" ครั้งนี้ ทีมชาติอังกฤษก็ยังทำผลงานได้ดี ด้วยการคว้าแชมป์กลุ่มดี ทั้งๆที่อยู่ร่วมกลุ่มกับทีมรองแชมป์โลกอย่าง โครเอเชีย ทีมดังอย่างสาธารณรัฐเช็ก และทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง สกอตแลนด์ โดยลูกทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต คว้าชัยเหนือทั้งโครเอเชียและเช็ก ไปพลาดเสมอ สกอตแลนด์ แค่นัดเดียว ก่อนจะมาเอาชนะ เยอรมนี ดังที่กล่าวไปแล้ว และก็ทำให้ "สิงโตคำราม" กลายเป็นทีมเดียวในทัวร์นาเม้นท์นี้ที่ยังไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว
สำหรับด่านต่อไป ทีมชาติอังกฤษ มีโปรแกรมพบกับทีมม้ามืดอย่าง ยูเครน ซึ่งเมื่อเทียบทั้งชื่อชั้นและฟอร์มช่วงหลัง ต้องบอกว่าพลพรรค "ทรี ไลอ้อนส์" เหนือกว่าเยอะ อีกทั้งสถิติการพบกันของทั้งคู่ อังกฤษก็พ่ายให้ยูเครนแค่ครั้งเดียวจากการเจอกัน 7 ครั้งหลังสุด
และหากอังกฤษฝ่าด่านยูเครนไปได้ คู่ต่อสู้ของพวกเขาในรอบรองชนะเลิศก็คือผู้ชนะระหว่างสาธารณรัฐเช็กกับเดนมาร์ก ซึ่งเช็ก อังกฤษก็เอาชนะได้มาแล้วในรอบแบ่งกลุ่ม ส่วนเดนมาร์ก แนวรุกของพวกเขาต้องยอมรับว่าลดประสิทธิภาพลงไปเยอะหลังการขาดหายไปของ คริสเตียน อีริคเซ่น จอมทัพคนสำคัญของทีมที่วูบคาสนามตั้งแต่นัดแรกของทัวร์นาเม้นท์ ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่เราจะได้เห็นทีมสิงโตคำรามไปผงาดในรอบชิงชนะเลิศ
หากไปถึงรอบชิง คู่ต่อสู้ของพวกเขาน่าจะเป็นงานหนัก เพราะมีทั้งทีมดังอย่าง เบลเยียม, อิตาลี, สเปน รวมถึง สวิตเซอร์แลนด์ ที่สร้างเซอร์ไพรส์น็อกแชมป์โลกอย่างฝรั่งเศสมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลนัดเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งแท็กติกของ เซาธ์เกต เน้นผลการแข่งขันมากกว่าการเอ็นเตอร์เทนแฟนบอลอยู่แล้ว รวมถึงนัดชิงจะแข่งที่สนามเวมบลีย์ รังเหย้าของทีม มีความได้เปรียบจากเสียงเชียร์เป็นทวีคูณ ดังนั้นก็มีโอกาสไม่น้อยที่ความฝันของคอลูกหนังอังกฤษจะได้เป็นจริง หลังรอความสำเร็จมานานถึง 55 ปี
--------------------
สำหรับ 8 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศของศึกฟุตบอลยูโร 2020 ครั้งนี้ ประกอบไปด้วย เบลเยียม, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก อังกฤษ, อิตาลี, สเปน, สวิตเซอร์แลนด์ และ ยูเครน ซึ่งการประกบคู่มีดังนี้
2 ก.ค. 64