
นายอิทธิพล ประธานภาคีอนุรักษ์เมืองนครราชสีมา เปิดเผยว่า ได้ค้นคว้าเรื่องราวประวัติศาสตร์ทั้งจากการบอกเล่าของบรรพบุรุษ หนังสือจดหมายเหตุนครราชสีมาหนังสือประวัติศาสตร์และเว็บไซต์ต่างๆ ภายหลังไทยได้ประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร สหรัฐอเมริกาได้ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในประเทศไทย เพื่อตัดเส้นทางลำเลียง จังหวัดนครราชสีมา เป็นหัวเมืองหลักเป็นเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทำให้กองทัพญี่ปุ่นเลือกมาตั้งค่ายทหารจึงเป็นพื้นที่เป้าหมายของการทิ้งระเบิดทำลาย ช่วงสงครามสิ่งที่จำเป็นของชุมชนคือหลุมหลบภัย เมื่อเกิดการโจมตีทางอากาศ เสียงหวอเตือนภัยจะดังขึ้น เพื่อให้ประชาชนวิ่งเข้าหลุมหลบภัยได้ทันท่วงที
จากนั้นได้ไปสำรวจหลุมหลบภัยตั้งอยู่ภายในบ้านอินทโสฬส บริเวณประตูด้านทิศเหนือของวัดพระนารายณ์วรวิหาร ซึ่งเป็นหลุมหลบภัยส่วนบุคคลสร้างเพื่อความปลอดภัยเจ้าเมืองนครราชสีมาและครอบครัวมีขนาดความจุประมาณ20คน สร้างในช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่2สันนิษฐานว่าทหารช่างของเมืองนครราชสีมาเป็นผู้สร้างลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด2 x 2.5เมตร ความลึกประมาณ2.4เมตร มีประตูทางเข้า2ฝั่ง เยื้องกันเป็นบันได9ขั้น กว้างประมาณ60-70เซนติเมตร ตัวหลังคาเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมทรงปั้นหยามีช่องท่อระบายอากาศ2ด้าน วัสดุและโครงสร้างโครงสร้างพื้นด้านล่างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหนา40เซนติเมตร ผนังทุกด้านเป็นผนังกินดินก่ออิฐฉาบปูนหนา40เซนติเมตร
ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดสร้างบ้านพิพิธภัณฑ์เจ้าเมืองนครราชสีมาและฟื้นฟูหลุมหลบภัย เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชนแหล่งรวบรวมข้อมูลสำคัญนอกตำราทางประวัติศาสตร์เส้นทางของเจ้าเมืองนครราชสีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี เป็นประโยชน์แก่เด็กเยาวชนรุ่นหลังโดยเฉพาะนักวิชาการผู้สนใจทางด้านประวัติศาสตร์รวมทั้งเชื่อมโยงเป็นแหล่งท่องเที่ยวตัวเมืองเก่าโคราช ที่มีอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) วัดเก่า6แห่ง ตั้งอยู่ในคูเมืองและพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจังหวัดนครราชสีมา เพื่อเป็นแลนมาร์คแห่งใหม่