
6 มกราคม 2564 หลังมีข่าวร้ายว่าโรงงานเฟอร์นิเจอร์ปัตตานีที่ชื่อ บริษัท ซูเพิร์บ ครีเอชั่น เฟอร์นิเจอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตจาก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ไปยัง จ.ชลบุรี หลังขาดทุนถึง 400 ล้าน จนถึงวันนี้ยังไม่มีสัญญาณบวกใดๆ จากทาง ศอ.บต.ที่เป็นแม่งานหลักที่ชักชวนมาร่วมลงทุน
จากแผนโครงการของรัฐบาล เมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ที่หวังให้ อ.หนองจิกเป็นแหล่งลงทุนทางการเกษตรและอุตสาหกรรม แต่ความจริงแล้วทำตามแผนไม่ได้ ไม่ว่าสาเหตุใดก็ตาม มันส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ทันที เป็นอีกโครงการที่ผลงานรัฐเดินหน้าไม่สำเร็จ ซ้ำรอย โครงการใหญ่อีกหลายโครงการที่ผ่านมา เช่น นิคมอุตสาหกรรมฮาลาล อ.ปะนาเระ, โรงงานแปรรูปฮาลาลที่ อ.หนองจิก และโครงการรัฐอื่นๆที่กลายเป็นอนุสรณ์ ร้างอยู่ริมถนนสาย เพชรเกษม 41
โดยก่อนช่วงปีใหม่ ผู้สื่อข่าวได้รับจดหมายเปิดผนึกจาก บริษัทเฟอร์นิเจอร์ นี้ ลงวันที่ 23 ธค.ที่ผ่านมา หนังสือเปิดผนึกไปถึง เลขาธิการ ศอ.บต. จนถึง พลเอกประยุทธ์ จันท์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอยุติการผลิต การลงทุนธุรกิจสำคัญในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยืนยันว่า ณ ตอนนี้คงต้องวางแผนยุติไปก่อน พอสรุปได้ว่า
จากที่บริษัทฯ ได้เข้ามาลงทุน ทำการผลิตระยะเวลากว่า 1 ปี 3 เดือนแล้ว แต่ทางรัฐบาลไม่สามารถทำตามแผนงาน ที่ระบุว่า จะช่วยเหลือด้านคมนาคมขนส่ง อำนวยความสะดวกเรื่องสาธารณูปโภค ตามที่วางไว้ได้ ทำให้บริษัทฯ ต้องขาดทุนอย่างหนัก จนไม่อาจจะลงทุนทำธุรกิจได้อีกต่อไป ได้รับความเสียหาย ได้แก่
1. ต้นทุนค่าขนส่งที่สูงกว่าการลงทุนในพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ประมาณ 500เหรียญสหรัฐต่อตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งป้จจุบันบริษัทฯ ได้มีการส่งออกแล้วกว่า 200 ตู้ คิดขนส่งที่สูงขึ้นกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐ2. มูลค่าการลงทุนในที่ดิน 211 ไร่ ซึ่งไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้3. เสียโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจาก ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้ตามแผนที่วางไว้4. สูญเสียเงินลงทุนไปแล้วกว่า 400 ล้านบาท
ทั้งนี้มีการชี้แจงถึงเหตุผลที่รัฐจูงใจให้มาลงทุนในโครงการครั้งแรกด้วย ว่าจะอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น สนับสนุนค่าขนส่ง พัฒนาเรื่องอุปโภคบริโภค ปรับผังเมืองเชื่อมให้เข้ากับธุรกิจ ใช้ประโยชน์จากการเช่าที่ดิน มาตรการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และอื่นๆ แต่สุดท้ายทำไม่ได้ตามแผนโครงการ ส่งผลถึงบริษัทเตรียมลอยแพ คนงานกว่า 200 คน ต้องตกงาน
ล่าสุด วันที่ 6 มค.หลังจากช่วงปิดยาวเทศกาลปีใหม่ ผู้สื่อข่าวจึงลงไปสอบถามพนักงานในโรงงาน ซึ่งยังคงทำงานตามหน้าที่ บางแผนกปิดลงไปแล้ว 3 แผนก พนักงานที่เหลือบางคนหยุดงานไปก่อน รอคำตอบจากบริษัทว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไร พนักงานส่วนหนึ่งต้องย้ายมาทำงานแผนกเย็บหนัง และทุกคนยังมีความหวังว่า โรงงานแห่งนี้ยังจะไม่ถูกปิดตัวไปจริงๆ
นายมูฮำหมัดซอบรี เจ้ะหลง อายุ 22 ปี แผนกเแพ้คของ กล่าวน้ำตาคลอเบ้าว่า ตนมาทำงานได้ 3-4 เดือน ผิดหวังมากถ้าโรงงานต้องปิดตัวจริงๆ เพราะผมเองเป็นตัวหลักของครอบครัว ช่วยพ่อแม่รับค่าใช้จ่ายในบ้าน มีน้องเล็กๆอีก 3 คน ที่ยังต้องเรียนอยู่ ถ้าไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว คงต้องเสียเวลาหางานใหม่ วางแผนชีวิตเดิมที่ตั้งไว้ต้องล่าช้าไปอีก แม่อยู่เลี้ยงลูก พ่อก็รับจ้างทั่วไป ตอนนี้เพื่อนแผนกอื่นก็โดนปิดหยุดผลิต หยุดทำงานแล้วเกือบครึ่ง กระทบต่อการยังชีพและภาระอย่างมากกับหลายๆคนทันที และพวกเราที่เหลือก็ยังรออยู่ว่าจะโดนเมื่อไหร่ อยากวอนขอผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งรัฐและผู้ใหญ่ทั้งหมดเมตตา ช่วยเหลือพวกเราด้วย เพราะต่างมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว ทำอย่างไรก็ได้ให้โรงงานนี้ได้อยู่ต่อได้ไปต่อ เพราะ ยังต้องเลี้ยงดูคนได้ไม่ต่ำกว่า 600 คน
ด้าน น.ส.ฮานีซัน ติลี กล่าวว่า ก็หลังจากบริษัทเกิดผลกระทบ ขาดทุน ยังไม่รวมหนี้ที่ติดกับทางฮ่องกงอีก นี้ก็ทำให้พนักงานหลายๆคนเกิดผลกระทบปิดไปแล้ว 2-3แผนก เช่น แผนกทำโครง ประกอบไม้ ต้องพักงานบางคน และให้ย้ายมาทำงานแผนกตัดเย็บหนัง ซึ่งเขาส่วนใหญ่ไม่มีทักษะด้านนี้เลย หลายๆคนหนักใจมากเพราะถ้าโดนออกไปต้องแล้วหางานยากมากๆ รวมทั้งสถานการณ์โควิด ที่เข้ามาซ้ำเติมอีก ทุกคนอยากให้บริษัทและโรงงานอยู่ต่อไปเรื่องนี้กระทบกับครอบครัวคนงาน ข้างหลังเขาอีกหลายร้อยคน ส่งผลลบด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ และไม่มีการพัฒนาคนพื้นที่ด้วย