
15 พฤศจิกายน 2563 "อัษฎางค์ ยมนาค"นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ถึงทูตนอกแถวที่ด่าทหารว่ารบกับลาวยังแพ้และชอบเอาประเด็นสมรภูมิบ้านร่มเกล้ามาตอกย้ำ ทำให้เกิดภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อกองทัพของชาติ โดยเนื้อหาที่เขาโพสต์นั้นร่ายยาวถึงความเป็นมาโดยละเอียดว่า
"จากสมรภูมิร่มเกล้า สู่สมรภูมิส้มล้มเจ้า"ปัญหาความขัดแย้งบนพื้นสมรภูมิร่มเกล้า มีจุดเริ่มต้นย้อนไปถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อฝรั่งเศสและไทยมีข้อตกลงการปักปันเขตแดนตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. 2447 ในพื้นที่เขตแดนระหว่างไทยและลาวซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้วเมื่อเวลาผ่านไปนับร้อยปีก็เกิดปัญหาเมื่อไทยกับลาวต่างตีความในสนธิสัญญาดังกล่าวต่างกัน คือ ลาวยึดเอาแม่น้ำเหืองป่าหมันเป็นเส้นเขตแดน ส่วนไทยยึดเอาแม่น้ำเหืองงาเป็นเส้นเขตแดน
ในเวลาต่อมาบริเวณดังกล่าวซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่มีปัญหา กลายเป็นฐานของพวกคอมมิวนิสต์ และหลังจากไทยแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์สำเร็จ โดยที่รัฐบาลไทยมีนโยบายนำคอมมิวนิสต์ออกจากป่าในสมัยรัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงมีการจัดสรรพื้นที่บริเวณรอยต่อจังหวัดพิษณุโลกกับจังหวัดเลยให้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวม้ง เมื่อราว พ.ศ. 2526 ให้ชื่อว่า "บ้านร่มเกล้า"
ซึ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างไทยกับลาวเริ่มตึงเครียดหนัก โดยต่างฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์ในพื้นที่บริเวณบ้านร่มเกล้าว่าเป็นของฝ่ายตน8 สิงหาคม พ.ศ. 2530 กองร้อยทหารพรานที่ 3405 ปะทะกับทหารลาว โดยมีทหารไทยได้รับบาดเจ็บส่วนหนึ่งและทหารลาวเสียชีวิต 11 คนในเวลาต่อมาพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก ได้ใช้"ยุทธการสอยดาว" เพื่อพยายามผลักดันทหารลาวให้ออกจากพื้นที่จนกระทั่งทหารไทยยึดพื้นที่ได้กว่า 70% เหลือเพียงบริเวณเนิน 1428 และ 1182 และเนินใกล้เคียง 3-4 เนิน ซึ่งการปะทะกันจากนั้นทำให้ทั้งสองฝ่ายสูญเสียอย่างหนักในระหว่างที่ทหารเสี่ยงชีวิตในสนามรบ นักการทูตก็สนับสนุนการต่อสู้กันด้วยกระบวนการทูตแต่การรบก็ยังคงไม่หยุด และการทูตก็ไม่สำเร็จสงครามครั้งนั้นมีการเสนอข่าวในฝั่งไทยว่าเป็นสงครามแก่งแย่งดินแดนระหว่างไทยกับลาวเท่านั้น เพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดความตื่นตระหนกของประชาชนทั้งๆ ที่ความจริง เป็นสงครามระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพผสมเวียดนาม เขมรและลาว โดยมีรัสเซียสนับสนุนอยู่เบื้อหลัง ซึ่งหมายความว่าไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกประตู
สุดท้ายทางการไทยต้องติดต่ออย่างลับๆ เพื่อขอความช่วยเหลือจากจีน มหาอำนาจแห่งเอเชียที่ทั้งเวียดนาม เขมรและลาวไม่อยากต่อกรต่อมาทางฝั่งลาวก็เริ่มรู้ว่าไทยได้รับการสนับสนุนจากจีน เพราะระเบิดที่ยิ่งไปตกในฝั่งลาว คือระเบิดของจีนจนในที่สุดไฟสงครามที่ไม่สามารถจบลงด้วยการสู้รบ กลับจบลงด้วยพิธีการทูตอย่างลับๆแต่พิธีการทูตนั้นไม่ใช่ฝีมือของนักการทูต แต่เป็นนักการทหาร ที่เป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อว่า พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำฝ่ายลาว
เมื่อไทยจับได้ว่าสงครามกับลาวในครั้งนั้นมีทั้งเวียดนาม เขมรและรัสเซียอยู่เบื้องหลัง และลาวก็จับได้ว่าไทยได้จีนมาช่วย ผสมกับการเจรจาของพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ กับผู้นำฝ่ายลาว
ในที่สุดนายไกรสร พรหมวิหาร นายกรัฐมนตรีของลาว ได้ส่งหนังสือถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีของไทย โดยเสนอให้หยุดยิ่ง และตั้งคณะกรรมการต่อมา วันที่ 16-17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก และพลเอกสีสะหวาด แก้วบุนพัน ประธานคณะเสนาธิการทหารสูงสุด กองทัพประชาชนลาว จึงได้เปิดเจรจากันที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ และได้ข้อตกลงให้หยุดยิงเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531ในสมรภูมิร่มเกล้า กองทัพภาคที่ 3 รายงานจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 167 คน บาดเจ็บเล็กน้อย 550 คน และทุพพลภาพ 55 คน แต่มีอีกแหล่งรายงานว่ามีทหารไทยเสียชีวิต 147 คน โดยใช้งบประมาณในสมรภูมิร่มเกล้าไปราว 3,000 ล้านบาท
ขณะที่มีการประมาณว่ามีทหารลาว (ซึ่งรวมทั้งทหารโซเวียต เวียดนาม) เสียชีวิตประมาณ 300-400 คน บาดเจ็บประมาณ 200-300 คนความสำเร็จจากการยุติสงครามในสมรภูมิร่มเกล้านั้นเกิดจากการร่วมมือกันทำงานระหว่างการทหารและการทูต ที่ทำงานกันเป็นทีมแบบ one dream one teamถ้าทหารจะบอกว่าสำเร็จเพราะการทหารก็ไม่แฟร์ ในขณะที่ถ้านักการทูตจะบอกว่าสำเร็จเพราะการทูตก็ไม่แฟร์เช่นกันเพราะความจริงคนที่เสี่ยงชีวิตในสมรภูมิคือทหารหาญทุกนาย โดยมีกระบวนการทูตเป็นฝ่ายสนับสนุนและยิ่งไม่แฟร์ เมื่อมีนักการทูต รวมทั้งคนฝ่ายลิเบอร่านชอบยกกรณีสงครามบ้านร่มเกล้ามาดิสเครดิต โดยการพูดให้กองทัพเสื่อมเสียว่า ไทยรบแพ้กระทั่งลาวเพราะถ้าเป็นนักการทูตผู้ร่วมปฏิบัติการจริงย่อมรู้ดีอยู่เต็มอกว่า ไม่ใช่ไทยรบกับลาว แต่มันเป็นกองทัพผสมของเวียดนาม เขมรและลาว โดยมีรัสเซียซึ่งเป็นประเทศอภิมหาอำนาจให้การสนับสนุนอยู่เบื้อหลัง ที่หมายความว่า ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
การที่เอาประเด็นเรื่องบ้านร่มเกล้ามากระทืบซ้ำพวกเรากันเอง เป็นสิ่งที่สะท้อนพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เพราะนอกจากไม่มองให้ทะลุถึงปัจจัยเบื้องหลังว่าทำไมเราถึงเสียเปรียบ แล้วยังเป็นการไม่เคารพ ครอบครัวของทหารหาญผู้วายชนม์ในสงครามบ้านร่มเกล้าเลยว่าพวกเขาจะเสียใจเพียงไรอีกอย่างคือ เรื่องบ้านร่มเกล้านี้แม้แต่ฝ่ายลาวเองก็พยายามที่จะลืมอดีต ไม่พยายามขุดคุ้ยเพื่อตอกย้ำ เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใดที่จะจมอยู่กับอดีตที่เลวร้ายตราบที่ไทยและลาวมีพรมแดนติดกันถึง 1,800 กม. ที่เราย้ายหนีกันไม่ได้
ความเป็นพี่น้องในสายเลือดระหว่างคนไทยคนลาวก็ตัดกันไม่ขาด เอา DNA ไปตรวจก็แยกคนไทยคนลาวไม่ได้ที่สำคัญคือทั้งลาวและไทยก็เป็นเพื่อนบ้านที่เป็นสมาชิกอาเซียนด้วยกัน ต้องมี unity ในการมองไปข้างหน้าเพื่อพัฒนาร่วมกัน เพื่อความผาสุกของชาวบ้านไทยและลาวร่วมกัน
ดังนั้น คนที่ชอบเอาประเด็นบ้านร่มเกล้ามาตอกย้ำ เพื่อทำลายภาพพจน์ของกองทัพของชาติของตนเอง ก็มองเป็นอื่นไปไม่ได้เลยว่าเป็นพวกอคติ เป็นพวกขวางโลก เป็นพวกชอบทำลายมากกว่าสร้างสรรค์
อัษฎางค์ ยมนาค"