svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

นักวิชาการชี้ครูทำร้ายเด็ก "เป็นภาวะฝีแตก"

อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"ศ.ดร.สมพงษ์จิตระดับ"มองปรากฏการณ์ครูทำร้ายเด็กเป็นเรื่องที่"การศึกษาไทยเกิดภาวะฝีแตก"เพราะโครงสร้างกับระบบการศึกษาไทย ไม่ได้ยึดถือเรื่องเด็ก หรือผลประโยชน์ของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ แต่เป็นโครงสร้างที่ยึดโยงระบบอำนาจ ผลประโยชน์ทางธุรกิจ และเรื่องความรุนแรง

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงกรณีครูทำร้ายเด็กนักเรียนที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดว่า "การศึกษาไทยเกิดภาวะฝีแตก" เกิดปรากฏการณ์ผลทางลบหรือของเสีย กับสิ่งที่กระทำกับเด็ก ก็จะปะทุออกมาอย่างที่เห็นตามหน้าข่าวในทุกวันนี้ เพราะโครงสร้างกับระบบการศึกษาไทย ไม่ได้ยึดถือเรื่องเด็ก หรือผลประโยชน์ของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ

นักวิชาการชี้ครูทำร้ายเด็ก "เป็นภาวะฝีแตก"


แต่เป็นโครงสร้างที่ยึดโยงระบบอำนาจ กับเรื่องความรุนแรง โดยเฉพาะภาคเอกชน จะมีบางส่วนไปยึดโยงกับเรื่องของผลประโยชน์ เรื่องค่าตอบแทน เรื่องกำไรและขาดทุน เพราะฉะนั้นระบบการศึกษาไทยขณะนี้จะเห็นว่า มีการปล่อยทิ้งเด็กเอาไว้จำนวนมาก ถ้าลองไปตรวจสอบไม่ได้เกิดขึ้นที่โรงเรียนในคลิปวิดีโอจังหวัดนนทบุรีที่เดียวอย่างแน่นอน แต่มีเกิดขึ้นอีกหลายโรงเรียนเพียงแต่ไม่เป็นข่าว เพราะฉะนั้นระบบการติดตามตรวจสอบ การนิเทศบกพร่องหายไป โครงสร้างระบบการศึกษาไทย ถึงขั้นวิกฤตและเลวร้ายมาก
ศ.ดร.สมพงษ์ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬา ยังบอกอีกว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อเตือนใจให้กับผู้ปกครอง ไม่ได้มองที่คุณภาพดีและราคาค่าเทอมของโรงเรียนที่แพงอีกต่อไป มุมกลับกันที่ผู้ปกครองต้องทบทวนกับการตั้งคำถามระบบการศึกษาไทย โดยเฉพาะในการศึกษาปฐมวัย เด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียน 1-2 อาทิตย์แรก ไม่อยากไปโรงเรียน เพราะต้องมีการปรับตัวจากบ้านไปสู่โรงเรียน ไปเจอคนแปลกหน้า ครู กับกลุ่มคนที่ไม่คุ้นเคย ที่ไม่ใช่พ่อแม่ เป็นธรรมชาติของเด็ก
แต่ถ้าหลัง 2 อาทิตย์เป็นต้นไป ถ้าลูกยังไม่อยากไปโรงเรียนและลูกเกิดอาการผวามีรอยช้ำ พฤติกรรมเปลี่ยนไปผิดสังเกต ต้องตรวจสอบแล้ว อย่างกรณีที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนในจังหวัดนนทบุรี ต้องชมผู้ปกครองโรงเรียนนี้ที่มีการสังเกตลูกหลาน และตามขอดูกล้องวงจรปิด ถือว่าเอาใจใส่ลูกดีมาก

ดังนั้นถ้ายังแก้ปัญหากันที่ปลายเหตุโดยแค่ไล่ครูออกจากการสอน เป็นการแก้ปัญหาให้เรื่องจบ ไม่ทำให้ชื่อเสียงโรงเรียนเสีย แต่โครงสร้างกับระบบยังดำเนินต่อไป เพราะฉะนั้นเหตุการณ์แบบนี้ก็ยังเกิดขึ้นอีกหลายโรงเรียน เพราะตัววัฒนธรรมองค์กร ไม่เคยถูกตรวจสอบ ไม่เคยถูกติดตาม ไม่เคยถูกนำมาพูดในที่สาธารณะ เป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนและส่งผลกับระบบการศึกษาไทย

มองว่านักการเมือง รัฐมนตรีคนที่เกี่ยวข้อง จะแก้ไขแบบค่านิยมเดิมไม่ได้แล้ว สะท้อนให้เห็นในโรงเรียนดังกล่าว ตั้งแต่เรื่องคนในครอบครัวของครู ครูที่อยู่ในห้องที่เกิดเหตุการณ์ก็เงียบเฉย จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ความรุนแรง

ขณะที่พ่อแม่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ การส่งลูกไปเรียน การที่ให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน หรือกวดวิชา ทั้งหมดถูกบังคับให้เด็กเรียนอยู่ในห้อง ซึ่งผิดกับพัฒนาการและวัยของเด็กปฐมวัยมาก มันซับซ้อนเกินกว่าที่เด็กและผู้ปกครองจะจัดการได้ เราต้องปฏิรูปสังคายนาใหม่

นักวิชาการชี้ครูทำร้ายเด็ก "เป็นภาวะฝีแตก"


สิ่งที่อยู่ในระบบโรงเรียน และภายในก็เริ่มแสดงออกมา และภายนอกก็บอกมาแล้วว่าผลสัมฤทธิ์อย่างไร ตนตั้งคำถามง่ายๆ เด็กวัยรุ่นในปัจจุบันแฝงด้วยความรุนแรง มาจากระบบในโรงเรียนก็ส่วนหนึ่ง ครอบครัวก็ส่วนหนึ่ง ความรุนแรงจากเรื่องของเกม ละคร เริ่มเห็นมากขึ้น และกลายเป็นเรื่องปกติ ตนไม่แปลกใจทำไมครูบางคนยืนขำ และรู้สึกเฉยๆ กับสิ่งที่เกดขึ้น โดยไม่ตักเตือน
เพราะเด็กถูกกดให้เรียนหนังสือต้องอยู่ในระเบียบวินัย ซึ่งในความเป็นจริงเด็กปฐมวัยเป็นเด็กวัยซน เด็กเขาอยากรู้อยากเห็นไม่อยู่ในกรอบ แต่ถ้าไม่ปฎิบัติตามก็จะต้องถูกลงโทษ การจัดการศึกษาในขณะนี้เป็นการละเมิดสิทธิเด็กอย่างรุนแรง ละเมิดทั้งกายและใจ รวมถึงคุณภาพชีวิต
ดังนั้นพ่อแม่ต้องต่อสู้ไปถึงโครงสร้างระบบ เพราะนี่คือการการันตีชีวิตเด็กทั้งประเทศ การปฏิรูปการศึกษาอย่าไปเดินตามระบบเดิม การตั้งคณะกรรมการประชุม จนมาถึงการผลิตเอกสาร ตนถามว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ คำตอบคือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ขณะนี้โลกของการศึกษาอาการกำเริบหนัก ทางออกคือต้องประชุมหาคนที่เกี่ยวข้อง หาผู้รู้ ปรึกษาหารือแนวทิศทางของประเทศ ได้ชุดความรู้ กำหนดเป็นตัวนโยบาย แล้วเดินเครื่องเลย ส่วนพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กนักเรียน หรือคนที่เกี่ยวข้อง ต้องยอมสละเวลา อาจจะลงมาร่วมตรวจสอบระบบการติดตาม ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะโรงเรียนนี้เท่านั้น จะต้องถูกติดตามตรวจสอบทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐหรือโรงเรียนเอกชน

นอกจากนี้ระเบียบกฎเกณฑ์ของกระทรวง การรับคนเข้ามาเป็นครู เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ได้ตรวจสอบประวัติเขาหรือไม่ หรือคิดเพียงว่าประหยัดค่าใช้จ่าย หลวมหมด เพราะระเบียบกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ไม่ได้ถูกบังคับใช้
ถ้าหลายโรงเรียนยอมลงทุน เพราะต้องเข้าใจว่าเด็กปฐมวัยเป็นวัยที่เจริญที่สุดในเรื่องสมอง เรื่องการเตรียมพื้นฐานอารมณ์สังคม การที่จะนำครูที่ไม่ได้เข้าใจธรรมชาติมาสั่งสอนเด็ก เป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด เพราะกรณีที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนในจังหวัดนนทบุรี เป็นคนที่เรียนจบม.6 แต่เข้าไปเป็นวิชาชีพครู เพราะถ้าครูรุ่นใหม่ตนยังเชื่อว่า ถ้าเรียนมาทางด้านปฐมวัยจะจัดการเรียนรู้ที่ดีกว่า

ตนดูคลิปวิดีโอแล้วเศร้าใจว่าครูคนนี้ทำกับเด็กนักเรียนอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องของกระบวนการเรียนรู้ แต่เป็นเรื่องที่เราทุกคนปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังบอกอีกว่า หลักสูตรการผลิตครูในปัจจุบันไม่มีการตรวจสอบสุขภาพจิตของคนที่จะมาเป็นครู ตนอยู่ในวิชาชีพครูมา 40 ปี นอกจากเราจะเจอแล้วบอกให้เขาลาออกไป ทางออกที่ดีที่สุดควรมีการตรวจสอบสุขภาพจิตของคนที่จะมาเป็นครูอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะมีใบประกอบวิชาชีพแล้ว ต้องไปสอบและการรับรองเรื่องสุขภาพจิตของคนที่จะมาเป็นครู
ซึ่งอาจจะดูยุ่งยากขึ้นเพราะเท่าที่สังเกตดูจะเกิดปัญหาเหล่านี้เยอะมากขึ้น เพราะสังคมเต็มไปด้วยการแข่งขัน เรื่องการสอบ เรื่องการเลือกโรงเรียน และสุดท้ายไปกดทับที่ตัวเด็กหมด เพราะครูก็ต้องไปกดทับเด็ก สุขภาพจิตเสียหมด การแก้ปัญหาสุขภาพจิตเป็นส่วนหนึ่ง แต่หลักๆต้องแก้ไขเรื่องโครงสร้างเรื่องระบบหลักสูตรการศึกษา การผลิตครูเรื่องจรรยาบรรณ ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ

ส่วนการสอบใบวิชาชีพครู เมื่อเด็กที่เรียนมาสายนี้มาก็ต้องได้ใบนี้ ซึ่งใบวิชาชีพครูอยู่ได้ไม่กี่ปี เมื่อหมดก็ต้องมีการต่ออายุ และต้องสอบใหม่ เป็นการสอบวิชาจรรยาบรรณ และเรื่องทั่วไป เรื่องเนื้อหา แต่เรื่องสุขภาพจิตไม่สอบ ครูเอกชนก็ต้องต่ออายุที่คุรุสภา แต่ใบวิชาชีพในปัจจุบันไม่ได้บอกถึงจรรยาบรรณ หน้าที่ของความเป็นครู ไม่มีน้ำหนักคุณค่าความศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของคนที่อยู่ในวงการวิชาชีพ แต่ไม่การันตีเรื่องสุขภาพจิตและจรรยาบรรณ