svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

"สมศักดิ์" เปิดศูนย์กำไลอีเอ็มคุมประพฤติ

"สมศักดิ์ เทพสุทิน" เปิดตัวศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว กรมคุมประพฤติ มุ่งลดความแออัดในเรือนจำ พร้อมใช้อุปกรณ์ EM เฝ้าติดตามผู้กระทำผิดตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มความมั่นใจสู่สังคมปลอดภัย

วันที่ 11 ก.ย.2563 ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ (อาคารA) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง(รมว.)ยุติธรรม เป็นประธานใน "พิธีเปิดศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring Control Center หรือ EMCC)" ภายใต้แนวคิด "ให้โอกาส คืนอิสรภาพ เพิ่มความมั่นใจ สู่สังคมปลอดภัย" พร้อมเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมฯ และชมการสาธิตการใช้ระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว โดยมีว่าที่ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนาที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ศ.พิเศษวิศิษฎ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นางอภิรดีโพธิ์พร้อม รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 Mr. Julien Garsany ผู้แทน UNODC พร้อมด้วยนายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติคณะผู้บริหารกรมคุมประพฤติ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรมชั้น 2 และศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวชั้น 6 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

"สมศักดิ์" เปิดศูนย์กำไลอีเอ็มคุมประพฤติ



รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า นโยบายสำคัญของกระทรวง คือ การมุ่งเน้นการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่มีกำหนดโทษน้อย หรืออาจไม่จำเป็นต้องอยู่ในเรือนจำได้เข้าสู่ระบบการคุมประพฤติ ซึ่งจะดำเนินการควบคู่กับการสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยให้กับสังคม
โดยกรมคุมประพฤติได้นำ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือ Electronic Monitoring: EM(อีเอ็ม)" มาใช้ในการเฝ้าระวัง ควบคุมดูแล และติดตามกับกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มนักโทษเด็ดขาดที่ได้รับการพักการลงโทษและลดวันต้องโทษจำคุก2.กลุ่มผู้ถูกคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 563. กลุ่มผู้รอการตรวจพิสูจน์ ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 พร้อมทั้งมี "ศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวหรือศูนย์ EMCC" เป็นศูนย์กลางเพื่อควบคุมติดตามกลุ่มเป้าหมายข้างต้นให้ปฏิบัติตามเงื่อนไข รวมถึงสามารถบริหารจัดการหากมีผู้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข หรือจงใจฝ่าฝืนเงื่อนไขที่กำหนดได้อย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นภัยต่อประชาชนและสังคมตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวหรือ กำไลอีเอ็ม เป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุม ดูแล ติดตามผู้กระทำผิด อีกทั้งยังช่วยเสริมความเชื่อมั่นและสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้แก่สังคม ตลอดจนให้โอกาสแก่ผู้กระทำผิดในการกลับตนเป็นคนดีคืนสู่สังคมโดยไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ
อีกทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกำไลอีเอ็ม ยังสามารถดำเนินการได้ในหลายลักษณะ ดังนี้1.จำกัดบริเวณให้อยู่ภายในเขตที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ (พร้อมกำหนดกรอบระยะเวลาในการเข้า-ออกที่อยู่อาศัย)2.กำหนดพื้นที่ห้ามเข้าห้ามออกเป็นการเฉพาะ เช่น เขตพื้นที่จังหวัด, สนามบิน, บ้านผู้เสียหาย เป็นต้น3.จำกัด ความเร็วในการขับขี่ยานพาหนะ4.จำกัดเส้นทางในการเดินทาง5.สามารถดูข้อมูล เส้นทางการเดินทางย้อนหลังได้

"สมศักดิ์" เปิดศูนย์กำไลอีเอ็มคุมประพฤติ


ส่วนคุณสมบัติพิเศษของกำไลอีเอ็ม1. GPS Monitoring ติดตามตัวด้วยระบบดาวเทียมที่สามารถระบุตำแหน่งของผู้สวมใส่ได้2. ได้รับมาตรฐาน IP68 (International Protection Standard) คือมาตรฐานที่บอกถึงระดับการป้องกันฝุ่นและน้ำของเครื่องจักร (mechanical casings) และอุปกรณ์ไฟฟ้า (electrical enclosures) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย IEC (International Electrotechnical Commission) เทียบเท่ามาตรฐานยุโรป โดยเลข 6 หมายถึง สามารถป้องกันฝุ่นละอองได้สมบูรณ์ โดยมาตรฐานนี้ถูกทดสอบบนพื้นที่ที่มีการไหลเวียนของอากาศและฝุ่นเป็นเวลา 8 ชั่วโมง ส่วนเลข 8 หมายถึงป้องกันการแทรกซึมของน้ำจากการแช่ตัวอุปกรณ์ในน้ำได้แบบถาวร ทั้งนี้ยังสามารถรองรับการตกกระแทกที่ระดับความสูง 2 เมตร และสามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนจากการออกกำลังกาย เช่น การวิ่งได้
ทั้งนี้ หากพบผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขคุมความประพฤติหรือผู้มีพฤติการณ์ใดๆ เพื่อทำลายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวสามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมคุมประพฤติโทร. 1111 กด 78
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมฯ ได้มีการสาธิตการใช้ระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว ทั้งนี้หากผู้ที่ถูกติดกำไลอีเอ็ม มีการพยายามถอดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว เครื่องก็จะทำการแจ้งเตือนเข้ามาในระบบทันที

ภายหลัง นายสมศักดิ์ เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวง(รมว.)ยุติธรรมพร้อมคณะตรวจเยี่ยมศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว((Electronic Monitoring Control Center - EMCC) บริเวณชั้น 6 กระทรวงยุติธรรมซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยสังเกตการณ์ ติดตามผู้ถูกคุมประพฤติที่ใส่กำไลอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกำไลอีเอ็ม (EM: Electronic Monitoring)อย่างใกล้ชิดทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการทำผิดผ่านระบบเฝ้าติดตามรวมทั้ง มีการสาธิตให้ผู้ถูกคุมประพฤติได้ติดกำไลอีเอ็มเพื่อแสดงสัญญาณผ่านระบบและได้มีการพูดคุยกับผู้ถูกคุมประพฤติจาก จ.ระยอง ผ่านระบบสอบถามการติดกำไลอีเอ็มทดสอบประสิทธิภาพการใช้งาน
นายสมศักดิ์กล่าวระหว่างตรวจเยี่ยมศูนย์แห่งนี้ว่า กระทรวงยุติธรรมได้กำหนดแนวทาง ขั้นตอนการพิจารณาคดีและขั้นตอนหลังการพิจารณาคดี โดยการนำมาตรการทางเลือกแทนการจำคุกมาใช้ในแต่ละระดับก็เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ และมีมาตรการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยให้กับสังคมโดยคำนึงถึงความรุนแรงของการกระทำผิดและโทษที่ควรได้รับ เช่น คดีก่อการร้าย คดีฆ่าคดีข่มขืนเด็ก ควรได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ส่วนคดีผลิตจำหน่ายส่งออกยาเสพติดควรจำคุกระยะยาว 10 ปีขึ้นไป ส่วนคดีอื่น เช่น ลักทรัพย์ ฉ้อโกงบุกรุก ทำร้ายร่างกายอาจได้รับโอกาสพักการลงโทษ โดยนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกำไลอีเอ็มมาใช้ เพื่อเป็นมาตรการทางเลือกแทนการจำคุก

"สมศักดิ์" เปิดศูนย์กำไลอีเอ็มคุมประพฤติ


ทั้งนี้ศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว ซึ่งดูแลโดยกรมคุมประพฤติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการเป็นศูนย์กลาง เพื่อควบคุมติดตามกลุ่มเป้าหมายให้ปฏิบัติตามเงื่อนไข รวมถึงสามารถบริหารจัดการ หากมีผู้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือ จงใจฝ่าฝืนเงื่อนไข ที่กำหนดได้อย่างทันท่วงทีโดยจะสามารถป้องกันและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ ที่เป็นภัยต่อประชาชนและสังคม
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่าขณะนี้มีผู้ที่ติดกำไลอีเอ็มแล้วจำนวน 39 รายแยกเป็นผู้รอการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดจำนวน 23 ราย ผู้ถูกคุมประพฤติ7 ราย และผู้ที่ได้รับการพักโทษ 2 รายและผู้ได้รับจากลดวันต้องโทษอีก 12 รายซึ่งหลังจากนี้กรมคุมประพฤติจะทยอยติดกำไลEMให้กับกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม โดยคาดว่าจะใช้กำไลอีเอ็มปีละ 87,700 รายและเชื่อว่าการนำกำไลอีเอ็มมาใช้ ยังถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมดูแล ติดตามผู้กระทำผิด อีกทั้งยังทำให้สังคมมีความปลอดภัยด้วย 
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่าสำหรับผู้ที่ได้รับการพักโทษล็อตแรกทั้ง 3 กลุ่มจะมีจำนวน 3,000 คน มีทั้งผู้ต้องขังทั่วไปที่ได้รับการพักโทษ ได้รับพระราชทานอภัยโทษผู้ถูกคุมประพฤติ และผู้ที่รอตรวจพิสูจน์ ซึ่งจะเป็นการทยอยปล่อยเพื่อติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตามคำสั่งของคณะอนุกรรมการพิจารณาพักการลงโทษที่มีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน  และยืนยันว่าการพักโทษจะไม่ใช้กับผู้ต้องหาในคดีที่ก่อความรุนแรงและเป็นอันตรายต่อสังคม 

"สมศักดิ์" เปิดศูนย์กำไลอีเอ็มคุมประพฤติ


ด้านนายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การพักโทษจะไม่ใช้กับนักโทษที่มีคดีอุกฉกรรจ์และผู้ที่จะได้รับการพักโทษจะต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงว่าจะกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีกหรือไม่และต้องมีการกำหนดเงื่อนไขการคุมประพฤติ เช่น ห้ามออกจากพื้นที่กำหนด ห้ามเข้าใกล้พื้นที่ต้องห้ามแต่การกำหนดเงื่อนไขจะไม่มีประสิทธิภาพเพราะต้องเจ้าหน้าที่ควบคุมจำนวนมากดังนั้นกำไลอีเอ็มจึงสามารถนำมาใช้งานได้โดยผู้ที่ถูกปล่อยตัวจะต้องติดกำไลอีเอ็มนาน 1 ปีซึ่งในช่วงดังกล่าวจะพบอัตราการกระทำผิดซ้ำมากที่สุด ตัวเลขปัจจุบันอยู่ที่ร้อย 10 ในเวลา 3 ปี

จากนั้น รมว.ยธ.พร้อมคณะยังได้ตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการกรมคุมประพฤติ (JSOC) ซึ่งจะมีระบบติดตามนักโทษคดีร้ายแรงเพื่อป้องกันการก่อเหตุซ้ำและความปลอดภัยในสังคม ทั้งนี้มีข้อมูลผลการติดตามผู้พ้นโทษที่มีลักษณะพิเศษข้อมูล ณ วันที่ 1 กันยายน 2563ปีพ.ศ. 2559-2565 มีจำนวนผู้พ้นโทษ 155 คน พ้นโทษ 133 คน ต้องขัง 22 คน จำคุกคดีใหม่ 8 คน เสียชีวิต 6 คน รวมมีผู้ที่อยู่ระหว่างติดตามจำนวน 119 คน

 

ด้านนายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงภารกิจสำนักงานอัยการสูงสุดเรื่องมาตรการการกักกันโดยการควบคุมผู้กระทำความผิดในสถานที่กำหนดว่า เป็นอำนาจของพนักงานอัยการโดยเฉพาะในการร้องขอกักกันผู้กระทำความผิดติดนิสัย ซึ่งหากผู้กระทำความผิดเข้าหลักเกณฑ์เป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัย อัยการจะฟ้องศาลขอให้กักกันผู้กระทำความผิดติดนิสัยทุกเรื่อง ยืนยันว่า ในสำนวนคดีอาญา พนักงานอัยการพิจารณาเรื่องวิธีการเพื่อความปลอดภัยเรื่องการกักกันทุกสำนวน หากมีข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนชัดเจนก็จะร้องขอให้กักกันทุกเรื่องโดยเฉพาะหากได้ข้อมูลที่เป็นเรื่องการกระทำความผิดของผู้กระทำความผิดติดนิสัย หากได้รับจากกรมราชทัณฑ์ก็จะช่วยทำให้สำนวนการสอบสวนในคดีอาญาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาอัยการเคยฟ้องคดีกักกันผู้กระทำความผิดมาแล้ว
ขณะที่นายพรชัย ชลวาณิชกุล รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ผู้กระทำความผิดติดนิสัย มักกระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่มีกฎเกณฑ์ให้อยู่ในการควบคุมดูแลให้จำเลยที่พ้นโทษอยู่ในการควบคุมดูแล ทั้งนี้ หากติดนิสัยตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป อัยการก็จะขอให้ศาลกักกันตั้งแต่จำเลยพ้นโทษ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับฐานข้อมูล หากมีฐานข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ชัดเจน สำนักงานอัยการสูงสุด ก็จะใช้วิธีมาตรการความปลอดภัยทุกคดี เพื่อให้ความมั่นใจว่า คนที่ทำผิดติดนิสัยจะไม่สามารถออกมาทำผิดอีกเพราะจะมีระบบการตรวจสอบที่ชัดเจน

"สมศักดิ์" เปิดศูนย์กำไลอีเอ็มคุมประพฤติ


ด้านนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า กรณีผู้กระทำความผิดติดนิสัย หมายถึง ศาลพิพากษา จำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือน 2 ครั้งแล้วกลับมาทำผิดอีก ตัวอย่างของคนที่กระทำความผิดติดนิสัย และทำให้สังคมสะพึงกลัวมากที่สุด ก็คือ นายสมคิด พุ่มพวง ที่ฆ่าหั่นศพ 5 คดี แต่กลับมากระทำความผิดอีกโดยพฤติกรรมก่อเหตุเดิมๆ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมกังวลว่า คนเหล่านี้จะกลับไปสู่สังคมโดยไม่มีความปลอดภัยได้อย่างไร ดังนั้น สำนักงานอัยการจึงได้ประสานกับกระทรวงยุติธรรมและ เตรียมประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องฐานข้อมูลเผื่อเป็นข้อมูลสำคัญในการฟ้องขอศาลกักกัน ซึ่งกฎหมายกำหนดว่า ถ้าคนที่ก่อเหตุครั้งแล้วครั้งเล่ากลับมาก่อเหตุอีก นอกจากจะฟ้องให้ลงโทษสถานหนักแล้ว อัยการก็จะใช้วิธีเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ด้วยการขอเข้าไปในคำฟ้องว่าเมื่อพ้นโทษแล้ว ขอให้ศาลกักกันด้วย ซึ่งศาลกักกันได้ตั้งแต่ 3-10 ปี เพื่อดัดนิสัย ฝึกอาชีพในสถานที่กักกัน ซึ่งอัยการมีระเบียบชัดเจน พร้อมที่จะขับเคลื่อนทั่วประเทศขอเพียงแค่ฐานข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์