
จากกรณีดราม่า ร้าน ชาบูนางใน สาขาพระรามเก้า 43 ที่เจ้าของร้านเขียนข้อความตอบโต้ลูกค้า หลังลูกค้าเขียนรีวิวว่า ถูกร้านขู่คิดเงินเพิ่ม 200 บาท เนื่องจากไม่พอใจที่มากินแต่เนื้อ แต่กุ้ง ไม่กินผัก ซึ่งต่อมา นายณัฏฐ์เมธี ธนกิตต์วุฒิกุล ลูกค้าคู่กรณี ออกมาเปิดเผยว่า ไปกินที่ร้านดังกล่าวเป็นประจำมา 3 ปี จนพนักงานร้านจำได้ ซึ่งต่อไปจะไม่ไปกินอีกแล้ว และได้แจ้ง สคบ. พร้อมลงบันทึกประจำวันเรียบร้อยแล้ว
ล่าสุด วันที่ 10 กันยายน 2563 ทางด้านนายวันเลิด พวงพยอม อายุ 72 ปี เจ้าของต้นตำรับชาบูนางใน สาขาพระรามเก้า 41 ก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงกรณีดราม่าครั้งนี้ โดยบอกว่า ตนในฐานะสาขาต้นตำรับ ต้องขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ขอปฎิเสธความรับผิดชอบ ที่ผ่านมาเวลามีคนมาขอแฟรนไชส์ ก็ไม่ได้คิดค่าแฟรนไชส์ แต่จะขอให้ผู้ที่เปิดร้าน ให้มีความตั้งใจ ซื่อสัตย์กับลูกค้า และวัตถุดิบจะต้องมีคุณภาพ เน้นย้ำให้ลูกค้าที่เข้ามากินอิ่มจนพอใจ
ส่วนกรณีดราม่าที่เกิดขึ้น ตนก็เข้าใจว่า อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทำให้หลายสาขาขาดทุน แต่การที่คิดเงินลูกค้าเพิ่มนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
สำหรับการเปิดแฟรนไชส์แต่ละสาขา ราคาบุฟเฟ่ต์ก็ขึ้นอยู่ที่ผู้ที่ไปเปิดเป็นพื้นที่ไหน เพราะราคาอาจจะขึ้นอยู่กับค่าเช่า ถ้าหากใครสนใจอยากจะเปิด ก็ต้องมาเรียนเองที่ร้านต้นตำรับแต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้แล้ว ตนเสียใจมาก เพราะอาจจะทำให้สาขาอื่นเดือดร้อนไปด้วย จึงแนะนำให้สาขาที่ไม่เกี่ยวข้อง ออกมาชี้แจงความบริสุทธิ์ใจ
ส่วนสาขาต้นเรื่อง เมื่อวานทางเจ้าของร้านก็ได้โทร. เข้ามาขอโทษตนแล้ว
ลูกค้าคู่กรณี
ด้านภก.ไกรฤทธิ์ หอโสภณพงษ์ หลานชายนายวันเลิดกล่าวยอมรับว่า หลายๆสาขาของ ชาบูนางใน ก็ยังไม่คงที่ หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ต่อไปทางสาขาจะต้องทำเป็นในเชิงระบบธุรกิจมากขึ้น จะมีการตรวจสอบคุณภาพและมีกฎระเบียบที่เหมือนกัน โดยตนจะสานต่อธุรกิจชาบูตามเจตนาของลุง ที่จะเน้นมาตรฐาน คุณภาพ และบริการ
พร้อมทั้งอยากจะขอโทษในนามสาขาต้นตำรับ และยินดีให้ลูกค้าคู่กรณี เข้ามาใช้บริการของสาขาต้นตำรับ โดยจะดูแลอย่างดีที่สุดเป็นการขอโทษ
และจากการตรวจสอบล่าสุดพบว่าร้านชาบูนางใน สาขาพระรามเก้า ซอย 43ที่กำลังเป็นประเด็นดราม่า วันนี้มีการปิดร้าน และผู้สื่อข่าวไม่สามารถติดต่อทางเจ้าของร้านได้ ส่วนแฟนเพจเฟซบุ๊กก็ได้ถูกปิดไปแล้วเช่นกัน