
1 กันยายน 2526 เครื่องบินรบโซเวียตได้ยิงเครื่องบินโดยสารแบบโบอิ้ง 747 สายการบิน Korean Air Lines เที่ยวบิน KAL 007 ของเกาหลีใต้จนตกที่ทางตะวันตกของเกาะซาคาลิน ทางด้านตะวันออกไกลของโซเวียต ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 269 คนเสียชีวิต ในจำนวนนั้นเป็นคนไทยถึง 5 คน เหตุการณ์นี้ถือเป็นช่วงเวลาของความตึงเครียดมากที่สุดช่วงหนึ่งในช่วงสงครามเย็น เมื่อโซเวียตเชื่อว่าชาติตะวันตกจะเปิดฉากโจมตีพวกเขาเพื่อตอบโต้ จึงนำอาวุธนิวเคลียร์เข้าประจำการในยุโรปมากขึ้น
ในวันเกิดเหตุ เครื่องบินเกาหลีออกเดินทางจากเมืองแอนโคเรจ ในรัฐอลาสก้า เพื่อไปกรุงโซลของเกาหลีใต้ แต่ปรากฏว่าเครื่องบินกลับบินเข้ามาในเขตน่านฟ้าหวงห้ามของโซเวียต ช่วงที่โซเวียตมีแผนจะซ้อมยิงขีปนาวุธพอดี ตอนแรก เครื่องบินบินผ่านคาบสมุทรคัมชัตก้าของโซเวียต จึงมีการส่งเครื่องบินรบ 2 ลำขึ้นสกัด แต่จากสภาพอากาศทำให้พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ จนเครื่องบินออกสู่เขตน่านฟ้าสากล แต่เมื่อเครื่องบินเข้าสู่เขตน่านฟ้าหวงห้ามอีกครั้ง แต่เป็นเหนือเกาะซาคาลิน มันจึงถูกยิงตก
ตอนแรกโซเวียตปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการตกของเครื่องบิน แต่ต่อมายอมรับว่ายิงเครื่องบินตกจริง โดยอ้างว่า เครื่องบินลำนี้เป็นภารกิจด้านสายลับของสหรัฐ เพื่อทดสอบความพร้อมทางการทหารของโซเวียต
แต่แม้หลังโซเวียตล่มสลาย รัสเซียจะได้นำเอกสารเกี่ยวกับเครื่องบินลำนี้ออกเปิดเผยสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดแน่ เพราะว่าเหตุบังเอิญต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นระบบการติดตามเครื่องบินของสหรัฐที่บังเอิญก็มีปัญหาในวันนั้น การที่ระบบออโต้ไพล็อตทำงานผิดพลาด ซึ่งอาจจะเกิดจากความบกพร่องของนักบินเอง และการที่นักบินเครื่องบินโดยสารมองไม่เห็นเครื่องบินรบโซเวียต และไม่เห็นการยิงเตือนกว่า 200 นัดของฝ่ายนักบินโซเวียต ขณะที่ฝ่ายเครื่องบินโซเวียตเองก็ไม่มีพลุส่องสว่าง ที่จะทำให้เครื่องบินโดยสารมองเห็นการเตือน
แต่ผลจากการตกของเครื่องบินลำนี้ ทำให้สหรัฐต้องปรับเปลี่ยนวิธีการติดตามดูเครื่องบินที่บินออกจากอลาสก้า ในส่วนของเครื่องบินโดยสารเอง ก็มีการออกแบบหน้าปัดของระบบออโต้ไพล็อตใหม่เพื่อให้มองเห็นความผิดพลาดได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้น ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ยังสั่งให้มีการพัฒนาระบบจีพีเอสสำหรับกิจการพลเรือน เพื่อว่าจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดในการนำร่อง แบบที่เกิดกับเที่ยวบิน KAL 007