svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

รธน.หมวด 1-2 แตะไม่ได้ หรือ ใครปิดสวิตช์?

การแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นเรื่องการเมืองด้วยตัวของมันเอง แต่ประเด็นที่กำลังถูกปั่นกระแสให้กลายเป็นความขัดแย้ง คือการแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า เห็นว่าสมควรแก้ แต่พรรคอื่นๆ ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล บอกว่าไม่สมควรแก้ ขณะที่ "นักร้องเรียน" คนดัง อย่าง นายศรีสุวรรณ จรรยา กลับไปร้อง กกต.ให้ยุบพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่าการเตรียมเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1 หมวด 2 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

คำถามที่น่าสนใจก็คือ ตกลงแล้วรัฐธรรมนูญหมวด 1 หมวด 2 แก้ไขได้หรือไม่

ก่อนอื่นต้องไปดู รัฐธรรมนูญ หมวด 1 กับ หมวด 2 กันก่อน

หมวด 1 เรียกว่า "บททั่วไป" มี 5 มาตรา เป็นหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญและราชอาณาจักรไทย เช่น รูปแบบของรัฐที่เป็น "รัฐเดี่ยว" เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกมิได้, อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย, พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น

ส่วนหมวด 2 คือหมวด "พระมหากษัตริย์" มี 19 มาตรา ตั้งแต่มาตรา 6 ถึงมาตรา 24 มีบทบัญญัติเกี่ยวกับสถานะของพระมหากษัตริย์, เรื่ององคมนตรี, เรื่องการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นต้น

นี่คือรัฐธรรมนูญหมวด 1 กับ หมวด 2 ซึ่งจะว่าไปก็เป็นหมวดที่กล่าวถึงหลักฐานพื้นฐานของประเทศ น่าจะเขียนเหมือนกันทุกฉบับ และไม่น่าจะต้องมีการแก้ไข แต่จริงๆ แล้ว รัฐธรรมนูญทั้ง 2 หมวดนี้ "แก้ไขได้"
เพราะในรัฐธรรมนูญหมวด 15 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เขียนไว้ในมาตรา 256 ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบุไว้ชัดว่า หากจะแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 เมื่อผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาทั้ง 3 วาระ โดยต้องมี ส.ว.หรือสมาชิกวุฒิสภา เห็นชอบด้วยอย่างน้อย 1 ใน 3 หรือ 84 เสียงขึ้นไปแล้ว ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต้องนำร่างรัฐธรรมนูญไป "ทำประชามติ" เสียก่อน


อ่านถึงตรงนี้ ก็จะพบความชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญหมวด 1 กับหมวด แก้ไขได้ เพียงแต่ในกระบวนการแก้ ต้องผ่านประชามติ นอกเหนือจากต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาทั้ง 3 วาระแล้ว
คำถามก็คือ แล้วตรงที่ไหนที่แก้ไม่ได้ หรือ "แตะไม่ได้" / คำตอบอยู่ที่มาตรา 255 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ส่งผลเปลี่ยนแปลง 2 เรื่องนี้ ถือว่าแก้ไขไม่ได้

1. การเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือ 2. แปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ

จากบทบัญญัตินี้เอง (ซึ่งจริงๆ ก็บัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ด้วย) ทำให้หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1 หมวด 2 เป็นความอ่อนไหว เพราะหากไปแก้ไข อาจตีความว่ามีผลเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง เช่น ไปแก้ไขมาตรา 1 ไม่ให้ประเทศไทยเป็น "รัฐเดี่ยว" เหมือนที่มีนักวิชาการบางคนเสนอให้แก้ ย่อมถูกตีความว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือหากไปแตะเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจถูกตีความว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง


นี่เองจึงเป็นเหตุผลให้พรรคร่วมฝ่ายค้าน และพรรครัฐบาลที่เสนอแก้รัฐธรรมนูญ เขียนเงื่อนไขเอาไว้ให้สบายใจกันไปเลยว่าจะไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ซึ่งทุกพรรคที่ร่วมลงชื่อน่าจะเห็นตรงกันว่าบทบัญญัติที่มาอยู่นั้น "ดีอยู่แล้ว" และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง

รธน.หมวด 1-2 แตะไม่ได้ หรือ ใครปิดสวิตช์?


ส่วนท่าทีของพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า ที่บอกว่า รัฐธรรมนูญหมวด 1 หมวด 2 แก้ไขได้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิด เพราะแก้ไขได้จริงๆ และในอดีตก็เคยมีการแก้ไขบางมาตรามาแล้ว โดยเฉพาะในหมวด 1 แต่ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ

ฉะนั้นการที่พรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า กำลังเคลื่อนไหวยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้แก้หมวด 1 กับหมวด 2 ได้ด้วย จึงไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย แต่พรรคก้าวไกลก็ต้องอธิบายให้เพื่อนสมาชิกทั้ง ส.ส. และ ส.ว.เข้าใจให้ได้ว่า มาตราไหนใน 2 หมวดนี้ที่มีปัญหา สมควรต้องแก้ เพราะหากอธิบายได้ไม่ชัดเจน ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคก้าวไกล อาจถูก "ปิดสวิตช์" ก่อนที่พรรคก้าวไกลจะ "ปิดสวิตช์ ส.ว." ก็เป็นได้ เนื่องจากการยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องใช้เสียง ส.ส. 1 ใน 5 หรือ 98 เสียงขึ้นไป (หากใช้เสียง 2 สภา คือ ทั้ง ส.ส. และ ส.ส. ก็ต้อง 1 ใน 5 เหมือนกัน แต่เป็น 1 ใน 5 จาก 750 เสียง คือ ราว 150 เสียง)

แต่แม้จะหาเสียงสนับสนุนในสภาไม่พอ พรรคก้าวไกลก็ยังมีอีก 1 ช่องทาง คือ ใช้รายชื่อประชาชน 50,000 ชื่อ ในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกส่งเข้าสภา ก็อาจถูก "ปิดสวิตช์" ด้วยเสียงข้างมากจากในสภาอยู่ดี และเป็นเสียงข้างมากที่พรรคก้าวไกลต้องยอมรับด้วย