
จากกรณีที่เครือข่ายทนายความเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทย ได้เดินทางยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด ผ่านสำนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น พร้อมทั้งอ่านแถลงการณ์จากกรณีที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า การยื่นหนังสือเพื่อขอทราบข้อเท็จจริงและเหตุผลคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา พร้อมขอตำตอบภายใน 7 วัน เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 31 ก.ค. 63 ที่หน้าสำนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น นายคุ้มพงษ์ ภูมิภูเขียว หรือทนายแดง เครือข่ายทนายความเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทย ขับรถกระจายเสียงเชิญชวนให้ประชาชนที่สนใจ คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ที่ทางอัยการและตำรวจสั่งไม่ฟ้องกรณีขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงแก่ความตายเมื่อปี 2555 พร้อมทั้งทวงถามคำตอบจากอัยการจังหวัด หลังจากที่ยื่นหนังสือครอบ 7 วัน โดยระบุว่า ข้อมูลหลักฐาน ประชาชนสามารถรับรู้ได้
นายคุ้มพงษ์ กล่าวว่า แนวทางปฏิบัติของศาลนั้น ส่วนมากหากพยาน หลักฐานที่ยืดเยื้อถึง 8 ปี ศาลไม่รับฟัง ซึ่งทางอัยการทราบอยู่แล้ว และเชื่อว่าเป็นประเด็นสำคัญที่เชื่อว่าทำให้คดีพลิก ที่ผ่านมามีข้อมูลว่า อัยการพิเศษกรุงเทพใต้ เจ้าของสำนวน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรว เคยสั่งฟ้องดำเนินคดีนายบอสอยู่แล้ว แต่มีข้อพิรุธในการกลับคำสั่งต้องเป็นเรื่องมีเงื่อนงำ ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกมาให้ข่าว ระบุว่า ไม่สามารถดำเนินคดีใดๆได้แล้ว มองว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะหากมีพยานหลักฐานใหม่ สามารถที่จะดำเนินคดีได้ ตราบใดที่อายุความยังไม่หมด หากพยานหลักฐานที่จะออกมายืนยันว่าพยาน 2 ปากเป็นเท็จ ก็ถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่เช่นกัน เชื่อว่าการเสียชีวิตของพยานปากเอกนั้นจะทำให้คดีความยุ่งยาก ซับซ้อนมากขึ้นจากนั้นนายคุ้มพงษ์ได้สวมชุดครุย ขึ้นอ่านแถลงการณ์ ทวงถามคำตอบที่ชัดเจนกรณีที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องนายบอส อยู่วิทยา หลังจากที่ได้เดินทางมายื่นหนังสือเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 63 พร้อมทั้งตั้งข้อสงสัย 16 ประเด็น ที่หน่วยงานด้านความยุติธรรมอย่างอัยการและตำรวจต้องให้คำตอบกับสังคม ซึ่งข้อมูลทั้งหมดอยู่ในความสนใจของประชาชน และสามารถรับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงได้ ประชาชนสามารถรับรู้
"โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นกรณีพยาน 2 ปาก ที่เพิ่งออกมาให้ข้อมูลเมื่อปี 2562 โดยอ้างว่าขับตามนายบอสเห็นว่าใช้ความเร็ว 50-60 กม./ชม. เท่านั้น เพราะเหตุใดอัยการจึงเชื่อจนสามารถหักล้างผลการตรวจสอบความเร็วของกองพิสูจน์หลักฐาน ทำไมจึงเลือกเชื่อพยานข้างถนน ทั้งที่เป็นพยานหลังเกิดเหตุถึง 7 ปี หลังจากนี้หากยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ทางเครือข่ายทนายความ ถือว่า ตำรวจและอัยการ มีพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกระบวนการยุติธรรมไทย มีเจตนาที่จะทำลายกระบวนการยุติธรรม และทำลายความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน จึงหารือกันว่าหากไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนเตรียมเข้าแจ้งความเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติศรัทธาของประชาชน ต่อกระบวนการยุติธรรมเสื่อมถอยไปมากกว่านี้"นายคุ้มพงษ์ กล่าว