
หลังจากมีประเด็นร้อนในโซเชียล ร้องขอให้หน่วยงานรัฐ ตรวจสอบจุดกางเต็นท์บริเวณผาหัวสิงห์ ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์ แต่ต่อมา มีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาชี้แจงและอธิบายว่า..."ตรงนี้คือที่ส่วนบุคคลค่ะ ไม่ใช่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งนะคะ อีกอย่างเต็นท์สามารถรื้อถอนได้ค่ะ ไม่ใช่ไว้ถาวร ... อีกอย่างเราไม่ใช่นายทุน เราเป็นคนพื้นที่ เป็นชาวเขาพี้นที่ที่ทำเป็นที่จับจองมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น"ล่าสุด พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หัวหน้าชัดปฏิบัติการ 4 หรือ ศปป.4 กอ.รมน. พร้อมด้วย นายอัครชัย อาสุ ผอ.สจป.4 สาขาพิษณุโลก นายสมชาย ฉิมแย้ม หัวหน้าฐานปฏิบัติการชุดพยัคฆ์ไพร ภาคเหนือ ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา พบว่าบริเวณจุดชมวิวผาหัวสิงห์ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ส่วนจุดกางเต็นท์ที่มีปัญหาร้องเรียน อยู่ในเขต ต.บ้านเนิน อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นเขตป่าไม้ ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484พ.อ.พงษ์เพชร เปิดเผยว่า พื้นที่เกิดเหตุที่มีสิ่งปลูกสร้างใหม่ และมีการสร้างเต็นท์ถาวร อยู่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ และอบต.บ้านเนิน จึงมอบให้หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พช.18 (น้ำชุน) ตรวจสอบการถือครองที่ดินเพิ่มเติมจากการตรวจสอบเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2563 หากพบว่ามีการขยายพื้นที่ทำกินจากเดิม หรือมีการเปลี่ยนมือให้ดำเนินคดีตามกฎหมายทันที นอกจากนั้น การดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 2522 ตรวจสอบแล้วไม่มีการยื่นขออนุญาตก่อสร้างแต่อย่างใด มอบให้ อบต.บ้านเนิน ดำเนินคดีฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต และให้ออกหนังสือห้ามก่อสร้างอาคาร และห้ามใช้อาคาร นำไปส่ง และปิดประกาศ ณ อาคาร 2 ชั้น ที่กำลังก่อสร้างบริเวณผาหัวสิงห์สำหรับผลการตรวจสอบบริเวณพื้นที่ร้องเรียน พบนายเงี่ยป๋อ แซ่ท่อ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินเดิม ก่อนที่จะแบ่งที่ดินให้กับบุตร เจ้าหน้าที่จึงให้นายเงี่ยป๋อ นำชี้ขอบเขตที่ดินทำกินเดิมจับค่าพิกัดมาคำนวณพื้นที่ได้ 21 ไร่เศษ
เจ้าหน้าที่ได้พบผู้ครอบครอง 2 ราย จึงให้นำตรวจสอบ และให้เซ็นต์รับมอบหนังสือ ห้ามก่อสร้างอาคาร และห้ามใช้อาคาร ส่วนอีก 1 ราย ไม่พบผู้ครอบครองอยู่ในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ได้ปิดประกาศคำสั่งดังกล่าวที่อาคารสิ่งปลูกสร้าง ทั้ง 3 ราย ได้แก่1.นายกัวเน้ง แซ่ท่อ ครอบครองพื้นที่ 3 ไร่เศษ เป็นที่ดินที่ได้รับแบ่งมอบจากบิดา ถึงแม้ว่าจะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแต่ได้ขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นจากที่บิดาทำกินเดิม จึงผิดเงื่อนไขตาม มติครม. 30 มิ.ย. 2541 ถือเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติมที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด คณะเจ้าหน้าที่จึงเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484มาตรา 54 ฐาน "ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่าหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ"มาตรา 55 ฐาน "ผู้ใดครอบครองป่าที่ได้ถูกแผ้วถางโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งมาตราก่อน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นเป็นผู้แผ้วถางป่านั้น"เจ้าหน้าที่ จึงตรวจยึดพื้นที่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านคอนกรีต 2 ชั้น 1 หลัง เต็นท์กระโจม 7 หลัง ห้องน้ำห้องสุขา 4 หลัง และปรับพื้นที่เป็นลานกางเต็นท์ แต่เนื่องจากเป็นเวลาที่มืดแล้วจึงยุติการตรวจสอบและจะมาตราจสอบต่อในวันรุ่งขึ้น
ต่อมา วันที่ 9 ก.ค. คณะเจ้าหน้าที่นำโดย พ.อ.พงษ์เพชร ตรวจสอบพื้นที่ รายที่ 2 นายวีระพจน์ อ้างครอบครองและได้รับมรดกจากนายเงี่ยป๋อ มีพื้นที่ส่วน2 งาน 76 ตรว. อยู่นอกเขตพื้นที่นายเงี่ยป๋อ นำชี้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่ซึ่งนายวีระพจน์ บุกรุกขยายพื้นที่เพิ่มเติม เมื่อตรวจสอบกับภาพถ่ายทางอากาศปี 2545 ปรากฏสภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าและป่าเสื่อมโทรมไม่ปรากฏร่องรอยพืชเกษตร และเมื่อตรวจสอบกับภาพถ่ายจากดาวเทียมปี2560 ปรากฏร่องรอยการทำการเกษตรและปรับพื้นที่ในลักษณะขั้นบันไดในพื้นที่ส่วนใหญ่ โดยบริเวณตรวจสอบไม่มีผลการดำเนินงานสำรวจขึ้นทะเบียนราษฎรตามมติครม. 30 มิ.ย. 2541 สำหรับพื้นที่ที่นายเงี่ยป๋อ อ้างเคยครอบครอง และนำชี้ในส่วนที่นอกเหนือจากพื้นที่นายกัวเน้ง แซ่ท่อ และนายวีระพจน์ แจ้งครอบครองนั้น ปัจจุบันมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าและป่าเสื่อมโทรมไม่มีร่องรอยการทำประโยชน์ใดๆ และพื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาค้อคณะเจ้าหน้าที่พิจารณาและมีความเห็นว่า การกระทำของนายวีระพจน์ เป็นการบุกรุกครอบครองพื้นที่ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่ากระทำผิดกฎหมายป่าไม้ และถึงแม้ว่านายวีระพจน์ จะอ้างว่าได้รับมรดกพื้นที่ดังกล่าวต่อจากบิดาของภรรยา ซึ่งได้ครอบครองพื้นที่มาเป็นเวลานาน แต่การที่นายวีระพจน์ ได้บุกรุกขยายพื้นที่ทำกินของตนในเขตป่าไม้ เป็นการกระทำที่ขัดต่อข้อกำหนดของมติครม. 30 มิ.ย.2541 ถือเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าใหม่ที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด และลักษณะพื้นที่ที่มีสภาพเป็นไร่เลื่อนลอยหรือไร่หมุนเวียนก็ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การสำรวจขึ้นทะเบียนตามมติครม. ดังกล่าว จึงร่วมกันตรวจยึดพื้นที่ตามที่นายวีระพจน์ นำชี้เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.63 จำนวน 4 ไร่เศษส่วนรายที่ 3 พื้นที่ราษฎรบ้านวังบาล ไม่ทราบชื่อ เป็นเจ้าของ "ภูลมหนาว" ผาหัวสิงห์ แคมป์ปิ้ง ท้องที่บ้านน้ำเพียงดิน ม.8 ต.บ้านเนิน เมื่อตรวจสอบพื้นที่กับภาพถ่ายทางอากาศปี 2545 ปรากฏสภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า และป่าเสื่อมโทรมไม่ปรากฏร่องรอยพืชเกษตร และเมื่อตรวจสอบกับภาพถ่ายจากดาวเทียมปี 2560 ปรากฏร่องรอยการทำการเกษตรในพื้นที่ คณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันพิจารณาการยึดถือครอบครองพื้นที่ของบุคคลไม่ทราบชื่อดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดกฎหมายป่าไม้ จึงร่วมกันตรวจยึดพื้นที่จำนวน 1 ไร่เศษ พร้อมยึดบ้านกระโจม 1 หลัง ห้องน้ำ-ห้องสุขา 2 หลัง และลานกางเต็นท์