
เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากสิงคโปร์ใช้มาตรการ "เซอร์กิต เบรกเกอร์ " ล็อกดาวน์ประเทศอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ช่องยูทูป Prime Ministers Office, Singapore ช่องยูทูปอย่างเป็น ทางการของนายกรัฐมนตรีแห่งสิงคโปร์ได้โพสคลิปซึ่ง ลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีแห่งสิงคโปร์กล่าวถึงแรงงานต่างชาติในสิงคโปร์ด้วยความชื่นชม"พวกเราจะติดตามให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับ สวัสดิภาพของแรงงานต่างชาติ พวกเขามาทำงานหนักที่สิงคโปร์เพื่อเลี้ยงชีพและจุนเจือครอบครัวเขาที่บ้าน พวกเราเป็นกำลังสำคัญในการสร้าง HBD แฟลต สนามบินชางงี และรวมถึงรถไฟสาย MRT"ในคลิปถ้อยแถลงนี้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจจากรัฐบาลสิงคโปร์ถึงชีวิตความเป็นอยู่ไปจนถึงสวัสดิภาพของแรงงานระหว่างที่โควิด-19ระบาดหนัก "พวกเราทำงานร่วมกับนายจ้างเพื่อให้แน่ใจว่าแรงงานต่างชาติจะได้รับการจ่ายเงินเดือน และส่งเงินกลับบ้านได้ พวกเราจะอำนวยความสะดวกให้พวกเขาเข้าถึงการดูแลด้านสุขภาพและการรักษาอาการเจ็บป่วยหากพวกเขาต้องการนอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ก็ยังให้คำสัญญาเป็นแม่นมั่นว่าจะปกป้องแรงงานต่างชาติอย่างแน่นอน "หากสมาชิกครอบครัวของพวกเขาได้ดูวิดีโอนี้ ผมขอกล่าวกับพวกเขา พวกเราพึงพอใจผลงานและความทุ่มเทของลูกชายของพวกคุณ พ่อ และสามีของพวกคุณ ที่มาทำงานที่สิงคโปร์นี้ พวกเราตระหนักถึงความรับผิดชอบในสวัสดิภาพของพวกเขา พวกเราจะดูแลสุขภาพของพวกเขาให้ดีที่สุด ตลอดจนความเป็นอยู่และสวัสดิการที่พวกพึงได้รับที่นี่ และรวมถึงทำให้พวกเขาได้กลับบ้านไปหาพวกคุณได้อย่างปลอดภัย ในฐานะตัวแทนของชาวสิงคโปร์ ผมขออวยพรให้พวกคุณพบแต่สิ่งดีครับ"คำมั่นสัญญานี้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมที่น่าชื่นชม เมื่อทางการสิงคโปร์ได้ทำการดูแลแรงงานต่างชาติ ตลอดจนให้การรักษาแรงงานต่างชาติที่ป่วยเป็นโควิด-19ด้วยมาตรฐานที่เท่ากันกับชาวสิงคโปร์จนหายป่วย และจนถึงขณะนี้สิงคโปร์ซึ่งเร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างชาติในหอพักซึ่งมีจำนวนถึง 323,000 คน ได้ตรวจการติดเชื้อแรงงานต่างชาติในกลุ่มนี้ไปแล้วมากกว่า120,000 คน ซึ่งได้รับผลว่าพวกเขาไม่ป่วยเป็นโควิด-19อย่างไรก็ตามความสำเร็จของสิงคโปร์ในการควบคุมโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างชาติไม่ได้มาโดยง่าย แต่ได้มาจากการควบคุมอย่างเข้มงวด ที่ต้องเป็นแบบนี้เพราะแรงงานต่างชาติในสิงคโปร์มีจำนวนมหาศาล กระทรวงแรงงานสิงคโปร์เผยว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 สิงคโปร์มีแรงงานต่างชาติทำงานในสิงคโปร์อยู่ถึง 999,000คน สิงคโปร์จึงใช้มาตรการณ์เชิงรุกเพื่อควบคุมการระบาดในหอพักไม่ให้กระจายสู่ชุมชนภายนอก และป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อตามหอพักเพิ่มเติมนับแต่ตรวจพบแหล่งระบาดโรคโควิด-19 ขนาดใหญ่ในหอพักแรงงานต่างชาติเมื่อปลายเดือนมีนาคมมาตรการที่สิงคโปร์ใช้ในการควบคุมโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างชาติมีแนวทางไม่แตกต่างจากการควบคุมโรคโควิด-19ในกลุ่มชาวสิงคโปร์นั่นคือเน้นการเว้นระยะห่างและห้ามออกนอกเคหะสถาน ดังนั้นแรงงานในหอพักจึงได้รับการควบคุมอย่างใกล้ชิด หอพักขนาดใหญ่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าดูแลพร้อมเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ หอพักขนาดเล็กเช่น หอพักด้านหลังโรงงานต้องทำตามกฎของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด แรงงานไม่สามารถออกจากหอพักได้ แต่ทางภาครัฐและนายจ้างจะเป็นฝ่ายช่วยจัดหาสิ่งของจำเป็นรวมถึงอาหารให้อย่างเพียงพอ และสามารถขอตรวจสุขภาพได้ฟรีเมื่อรู้สึกป่วย นอกจากนี้รัฐบาลสิงคโปร์ยังจัดให้แรงงานสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ทตลอดเวลาเพื่อทำให้พวกเขาติดต่อกับเพื่อนและครอบครัวได้เสมอ ฯลฯ มาตรการเหล่านี้มีขึ้นเพื่อระวังไม่ให้เกิดการระบาดบาดในหอพักแรงงาน เช่น "S11" หอพักแรงงานต่างชาติซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดและพบผู้ติดเชื้อเกือบ 2,000 คนในเดือนเมษายนปัจจุบันสิงคโปร์ยังคงเป็นจุดหมายที่พี่น้องแรงงานไทยเดินทางไปทำงานมากที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน แรงงานไทยจึงเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อควบคุมโรคโควิด-19ในกลุ่มแรงงานครั้งนี้ ดัวยเหตุนี้สถานเอกอัครราชทูตไทยในสิงคโปร์จึงเรียกประชุมหน่วยงานและชุมชนคนไทยในสิงคโปร์เพื่อขอความร่วมมือเพื่อดูแลและให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่พี่น้องแรงงานคนไทยได้อย่างทั่วถึงระหว่างที่สิงคโปร์ใช้มาตรการเซอร์กิส เบรกเกอร์สมาคมไทย(สิงคโปร์)เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ร่วมช่วยเหลือแรงงานไทยในครั้งนี้ สมาคมนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2540 เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงคนไทยที่เข้ามาทำงานและพำนักอาศัยในสิงคโปร์ นอกจากจัดกิจกรรมส่งเสริมความเข้าใจในเรื่องวัฒนธรรมและจัดงานเทศกาลตามประเพณีไทย สมาคมไทยยังจัดกิจกรรมการกุศล และเป็นช่องทางที่เชื่อมโยงคนไทยในสิงคโปร์ไปสู่องค์กรหรือบุคคลที่สามารถให้ความช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหาซึ่งรวมถึงพี่น้องแรงงานไทยพาชื่น มาลัยพันธ์ หนึ่งในคณะกรรมการสมาคมไทย(สิงคโปร์)ได้เล่าถึงการให้ความช่วยเหลือพี่น้องแรงงานไทยในครั้งนี้ โดยหลังจากได้ประชุมกับสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ สิงคโปร์สมาคมไทย(สิงคโปร์) จึงประกาศรับบริจาคผ่านเฟสบุ้คของสมาคม และจากนั้นได้มีพี่น้องแรงงานไทยเข้ามาขอความช่วยเหลือซึ่งต่อมามีจำนวนมากถึง 1,600 คน โดยการขยายความช่วยเหลือพี่น้องแรงงานไทยซึ่งเริ่มจาก 1-2 คนในวันแรกๆ เป็นจำนวนมากกว่าพันคนนี้นอกจากเพราะมีการส่งต่อข่าวสารในกลุ่มพี่น้องแรงงาน แรงงานไทยบางท่านได้ขอความช่วยเหลือให้สมาคมไทย(สิงคโปร์)ติดตามช่วยเหลือแรงงานไทยคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากสมาคมแรงงานไทยโดยตรง "เริ่มส่งต่อ ช่วยจาก 1 ไปเป็น 2 คนโทรเข้ามาเยอะ แต่ละเบอร์รูปถ่าย เขียนเป็นลายมือเอากระดาษลังเขียนกัน เหมือนเวลาไปติดเกาะกันที่ไหนก็เริ่มจะส่งมาเรื่อยๆ" พาชื่นกล่าวอย่างไรก็ตาม การส่งอาหารและสิ่งของไปช่วยเหลือพี่น้องแรงงานไทยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม สิงคโปร์อยู่ระหว่างมาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ทั่วประเทศซึ่งมีผลกับการใช้ชีวิตของประชาชนทั้งหมด สมาชิกสมาคมไทยจึงไม่สามารถรวมตัวเพื่อจัดเตรียมและบรรจุข้าวของเป็นถุงยังชีพให้พี่น้องแรงงานได้ ในประเด็นนี้ วรรณา นิธิเชิดชู หนึ่งในคณะกรรมการสมาคมไทย(สิงคโปร์)เล่าว่าทางสมาคมแก้ปัญหาโดยการแจกสิ่งของรับบริจาคไปตามบ้านของคณะกรรมการเพื่อให้พวกเขาทำการจัดเป็นถุงยังชีพ "มันไม่เหมือนงานอาสาสมัครในช่วงเวลาปกติ เราไม่สามารถไปรวมตัวกันช่วยกันแพ็คของเพราะว่าเขามีกฎเรื่องการรักษาระยะห่าง มีกฎที่แบบห้ามคนที่แบบไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันเนี่ย เรามาเจอกันไม่ได้ เรามาสังสรรค์ไม่ได้ ก็คือเวลาเราต้องการจะแจกข้าวสารอาหารแห้งคือเราจะแพ็คถุงยังชีพใช่ไหมคะ เราก็ต้องแจกกันไปแต่ละบ้านๆ ให้กรรมการสมาคม หรือสมาชิกของสมาคมไทยไปช่วยๆกัน"
พาชื่นเสริมว่าข้อกำหนดเรื่องการรักษาระยะห่างทำให้ขั้นตอนการจัดส่งสิ่งของให้แก่พี่น้องแรงงานไทยก็ต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุม "การดำเนินงานทั้งหมดมันก็อาจมีปัญหาบ้างอย่างเช่น สิงคโปร์เขาก็มีระเบียบว่าไม่ให้เราพบ ไม่ให้เราประชุมหรือไปพูดคุย เพราะฉะนั้นเนี่ยเราก็ต้องมีการเตรียมการ มีการวางแผน นัดแนะจุดตำแหน่งที่เราจะไปลง วางแล้วถอย แล้วเขาก็จะมารับของ"
อีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นอุปสรรค์ต่อการจัดส่งถุงยังชีพเหล่านี้คือ พี่น้องแรงงานไทยมีความเข้าใจน้อยถึงเงื่อนไขและสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวซึ่งอาจเกิดจากกำแพงด้านภาษาและไม่ความไม่เชี่ยวชาญพื้นที่ "แม้แต่เรื่องเอกสาร ที่อยู่ การคุยกับพี่น้องแรงงานเราได้ข้อมูลน้อยคือ เขาเข้าใจน้อยเราก็เข้าใจน้อย เราต้องใช้ทักษะความเข้าใจแบบ บางทีเขาบอกมาเหมือนผมอยู่นนทบุรี แล้วส่วนไหนของนนทบุรีจะแบบยากอะไรอย่างนี้ค่ะ เราก็จะต้องติดต่อกับหน่วยงานนั้นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างคือปัญหาได้หมดเลย"พาชื่นกล่าวนอกจากนี้ พาชื่น ซึ่งพูดคุยและสื่อสารกับพี่น้องแรงงานหลายๆ คน เล่าถึงการช่วยเหลือพี่น้องแรงงานไทยว่าบางครั้งก็มีเรื่องตื่นเต้น เช่นเมื่อทางการสิงคโปร์มีการโยกย้ายแรงงานบางส่วนออกจากหอพักเดิมไปอยู่ที่ใหม่เพื่อควบคุมการระบาดของโรคในช่วงเวลาเที่ยงคืน สมาคมไทยจึงได้ติดตามพี่น้องแรงงานที่กระจัดกระจายไปยังหอพักใหม่ด้วย แต่การติดตามคนที่ถูกโยกย้ายไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะพี่น้องแรงงานต่างไม่คุ้นเคยกับสถานที่ใหม่ ไม่สามารถตอบถึงตำแหน่งที่ถูกต้อง แต่ในที่สุดชาวสิงคโปร์ท้องถิ่นได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือจนสามารถติดตามหาจนพบ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เซอร์กิต เบรกเกอร์จะเป็นวิธีเดียวที่ใช้ได้ผลในการปกป้องประชนจากโรคโควิด-19แต่สิงคโปร์ก็ยอมรับว่ามาตรการนี้ฝืนธรรมชาติความเป็นมนุษย์ที่ต้องการสังคม ประชาชนใช้ชีวิตลำบากขึ้น เซอร์กิต เบรกเกอร์ จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความกดดันโดยเฉพาะพี่น้องแรงงานซึ่งไม่สามารถออกจากหอพักได้พาชื่นเล่าว่าการกักตัวในพื้นที่จำกัด อาหารที่ไม่ถูกปาก การที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะต้องถูกโยกย้ายไปที่ไหนในเวลาใดเพื่อการควบคุมโรคโควิด-19 ความไม่เข้าใจภาษา และรวมถึงความกังวลว่าจะได้ค่าแรงจากการทำงานหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความเครียดในกลุ่มพี่น้องแรงงาน ดังนั้นถุงยังชีพจึงไม่ใช่ความช่วยเหลือเดียวที่สมาคมส่งให้ถึงมือพี่น้องแรงงาน แต่รวมถึงการแสดงความเห็นอกเห็นใจผ่านการพูดคุยระหว่างคนที่พูดภาษาเดียวกัน การช่วยแปลเอกสาร และรวมถึงการให้กำลังใจในยามเจ็บป่วยโดยเฉพาะแรงงานไทยซึ่งป่วยเป็นโรคโควิด-19พาชื่นได้เล่าถึงประสบการณ์ที่เธอได้ให้กำลังใจพี่น้องแรงงานซึ่งป่วยเป็นโควิด-19ว่าการอธิบายถึงสวัสดิการของการรักษาโรคโควิด-19 ที่พี่น้องแรงงานได้รับจากสิงคโปร์เป็นสิ่งจำเป็น "เราต้องไปนั่งอยู่ที่เดียวกับเขา เข้าใจกับเขา ทีนี้เราต้องอธิบายกับเขาก่อน เขาโตแล้วเขารู้เรื่อง เราก็อธิบายก่อนว่า ข้อหนึ่งเลย รัฐบาลสิงคโปร์เขาดีมากคุณเป็นหรือไม่เป็นเขาตรวจให้ฟรี" นอกจากนี้พาชื่นยังเน้นว่าจำเป็นต้องอธิบายให้พี่น้องแรงงานเข้าใจถึงขั้นตอนการรักษา "และที่สำคัญคุณสบายใจได้เลยนะว่า ออกจากโรงพยาบาลคุณไม่เป็นหนี้ มันก็ต้องมีพื้นฐานความรู้ เราให้ความรู้เขาว่าจะทำอะไรระดับต่อไป แล้วเราก็ใส่ลูกเล่นล้อไปคุยกับเขาไป เขาก็สนุก"
เมื่อถามว่า "ท้อหรือไม่?" ในการช่วยเหลือแรงงานไทยระหว่างช่วงเซอร์กิต เบรกเกอร์ซึ่งมีข้อกำหนดที่เข้มงวด วรรณาซึ่งเป็นคณะกรรมการสมาคมตอบว่าไม่เคยท้อ "จริงๆ ท้อนี่ไม่ท้อนะคะ แต่มีโมเมนต์ แห่งความตื้นตันใจ เพราะว่าคำว่า คนไทยไปอยู่ที่ไหน คนไทยก็ไม่ทิ้งกัน อันนี้มันเรื่องจริงเลยล่ะ" วรรณาเล่าเสริมว่าเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมซึ่งทางสมาคมเริ่มขาดแคลนสิ่งของบริจาคน้ำใจจากคนไทยที่ได้รู้ข่าวนี้ก็หลั่งไหลมาสู่สมาคมไทย "คือขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆที่เมืองไทยค่ะ ถ้าใครสนใจอยากจะมาร่วมบริจาคก็คือเชิญชวนเขา และเพื่อนๆ โอนเงินเข้ามาทันทีค่ะ คือทุกคนอยากช่วยเหลือคนไทยด้วยกันค่ะ ทั้งที่เขาอยู่ที่กรุงเทพเนอะ เขาก็ยังช่วยมันก็เลยรู้สึกตื้นตันใจมากค่ะ"ขณะเดียวกันพาชื่น เล่าว่ามีบางเวลาที่รู้สึกท้อแท้แต่เมื่อเห็นพี่น้องแรงงานที่รอรับสิ่งของก็สามารถก้าวข้ามผ่านความท้อแท้มาได้ "สมาคมไทยก็เป็น Non-Profit Organization(องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร)เราไม่ได้มีเงินทองมากมาย คนจะบริจาคของอะไรมาเราก็รับ ปัจจัยต่างๆ เราก็รับเพื่อที่เราจะจัดหาซื้อ" เมื่อของบริจาคเริ่มร่อยหรอพาชื่นเล่าว่ารู้สึกกดดัน "มันเหมือนพ่อแม่ที่แบบ หาเช้ากินค่ำ พรุ่งนี้เราจะเอาอะไรให้เขาไป เหมือนเราแบกภาระไว้เยอะมาก คือ เราทำยังไง แต่คนไทยที่นี่เขาดีจริงๆล่ะ บางทีเราก็โพสเฟสบุ้คส่วนตัวเรานะ อันนี้หมด อันนี้หมด อะไรอย่างนี้ค่ะ หรือแม้กระทั่งดิฉันไม่สามารถออกไปซื้อของได้ กับแค่สก๊อตเทปมัดลัง หรือลังมันไม่พอ บางอย่างแบบซื้อไม่ได้ ไม่ให้เราออกไปซื้อ คุณนึกออกรึเปล่าคะ แค่เล็กๆน้อยๆ แค่เราของไม่พอ วันนี้เราต้องแบกข้าวสารขึ้นรถฝนก็ตก ฟ้าถล่ม มันมีจุดท้อค่ะ แต่พอแบบได้เจอเขา ได้คุยตรงนั้น มันแบบ มันผ่านไปเลย"
ความช่วยเหลือที่สมาคมไทย(สิงคโปร์)หยิบยื่นให้กับพี่น้องแรงงานไทยในยามยากนี้ สร้างความรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันแก่แรงงานไทยเป็นอันมาก ดังนั้นคำขอบคุณจากพี่น้องแรงงานไทยจึงส่งมาถึงสมาคมไทย(สิงคโปร์)ไม่ขาดสาย พี่ชวน แรงงานไทยท่านหนึ่งซึ่งป่วยเป็นโควิด-19 และรักษาหายดีแล้วที่สิงคโปร์ได้ส่งคลิปเข้ามาขอบคุณสมาคมไทย(สิงคโปร์) และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ สิงคโปร์ ที่ได้จัดหาอาหารและข้าวของจำเป็นในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ "สวัสดีครับ ผมคนงานไทยที่ติดเชื้ออยู่สิงคโปร์ครับ ตอนนี้มาพักรักษาตัว มากักตัวอยู่ที่ NUS (National University of Singapore) ได้หลายวันแล้วครับ เชื้อก็ได้หายหมดแล้วครับ วันนี้ผมได้รับของยังชีพจากสมาคมไทย-สิงคโปร์ และสถานทูตส่งของมาให้ครับ ผมกราบขอบพระคุณนะครับ คุณพี่หมี พี่มิต้า พี่จอย เจ้าหน้าที่สมาคมทุกๆท่านนะครับ ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับที่มีความกรุณามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อแก่แรงงานไทยอย่างพวกเราครับ"นอกจากนี้พาชื่นได้เล่าถึงคำขอบคุณอันแสนจะประทับใจที่เธอได้รับ "เขาถ่ายรูปมา คุณ... วันนี้ผมได้ออกไปทำงานแล้ว ผมเป็นไปป์ปิง(Piping) ได้ไป ระหว่างไปทำงานมีต้นมะขาม ไปเก็บรังผึ้งมาอันเท่านี้แล้วถ่ายรูปมา ใหม่สดเอี่ยมเลยล่ะ ผมปีนรังผึ้งมาจะเอามาให้พี่แต่พอดีพี่บอกพี่ไม่มาผมเลยกินหมดแล้ว" แม้พาชื่นจะไม่ได้รับรังผึ้งแต่เท่านั้นก็มีค่ามากแล้ว "มันมีค่ามันน่ารักค่ะ เขาอุตส่าห์นึกถึงเรา พี่จะมาที่นี่อีกไหม? ผมเก็บมาจะให้พี่อะไรอย่างนี้ เออ แบบคุณก็จะน้ำตาปริ่มเลยแหละ หรือพี่แรงงานบางคนส่งเพลงมาให้ เขาดีดกีต้าร์ คือมันก็มีตรงนี้มาเติมทุกวันแบบนี้ค่ะ"น้ำใจที่หยิบยื่นให้กันโดยไม่แบ่งแยกนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสมัครสมานกลมเกลียวระหว่างคนไทยในสิงคโปร์ได้เป็นอย่างดี "คนเราทุกคนมีกล่องมี เชลเตอร์ มีหัวโขน มีสิ่งที่อยู่บนตัว แต่เมื่อคุณแปลกถิ่น อยู่ที่ใหม่ ตัวตนของคุณลดบทบาทลง คุณนึกออกไหมคะ เชลเตอร์ หรือ ฟิลม์บางๆ เหล่านี้มันน้อยลง ที่นี่ค่ะแน่นอนจะมีทั้งนักธุรกิจ บลูคอลลาร์ (Blue Collar) ,ไวท์ คอลลาร์ (White Collar) มีนักเรียนนักศึกษา คนไทยอีสานแต่งงานกับคนท้องถิ่น คนต่างจังหวัดคนกรุงเทพ แต่งกับฝรั่ง เขาเรียกอังม้อนะคะ ทีนี้ ปรากฎกลมกลืนกันได้ดี มีความสมานสามัคคีกันดีมาก อย่างเช่นงานสถานทูตพวก'ไทยแฟร์' งานที่ผ่านมาเช่น งานวันแรงงานอย่างนี้ เราจะเห็นพวกแม่ๆ ขอโทษะคะ ขี่เฟอรารี่ ลัมโบกินี่ มาเซิ้งเต้น กินข้าวเหนียวกับพี่ๆแรงงาน คือกลมกลืนและช่วยเหลือกันดี คือเขาไม่แบ่งอะไรอย่างนี้เลย พี่น้องแรงงานเขาแฮปปี้ เขาแบบเหมือนกลมกลืนเขาอิสระ แล้วเขาโอเคมากเลยค่ะ แล้วมิต้าก็รู้สึกดีนะแบบนี้" พาชื่นอธิบาย
มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ สิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ขณะนี้สิงคโปร์เข้าสู่ช่วงเฝ้าระวังซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ก่อนจะมีการพิจารณาให้ทุกภาคส่วนกลับมาทำกิจกรรมตามปกติได้อย่างปลอดภัย และขณะนี้สมาคมไทย-สิงคโปร์ ได้หยุดการขอรับบริจาคแล้ว แต่คณะกรรมการสมาคมไทย วรรณา นิธิเชิดชู เปิดเผยว่ายังคงพร้อมเป็นสะพานบุญให้กับผู้ที่มีความปรารถนาดีแก่พี่น้องแรงงานไทย นอกจากนี้พาชื่น มาลัยพันธ์ เล่าถึงบทบาทของสมาคมไทยว่าต่อไปนี้สมาคมไทยจะเป็นเหมือนสะพานเชื่อมให้พี่น้องแรงงานได้เข้าถึงคำตอบของคำถามจากพวกเขา "หลังจากวันนี้มันไม่ใช่แค่ข้าวสารอาหารแห้งที่มาตกถึงเราและเราต้องส่งต่อ มันเป็นเรื่องความช่วยเหลือของเรื่องคำถาม บางทีเขามีคำถามบางอย่างแค่แบบ ส่งเงินกลับบ้านไม่ได้ สมาคมกลายเป็นสะพานเชื่อม เราไม่ได้ทำไปเสียทุกอย่างแต่เรารู้ชาแนลว่าส่งเขาไปที่ไหนเราจะทำยังไงต่อ"รัฐบาลสิงคโปร์ได้ตั้งเป้าหมายจะขจัดโรคโควิด-19 ให้หมดสิ้นไปในเดือนสิงหาคม ในขณะนี้โรงงานบางแห่งได้กลับมาดำเนินการผลิตตามปกติแล้วซึ่งส่งผลให้แรงงานต่างชาติประมาณ 17,000 คน ได้กลับเข้าทำงานแล้วซึ่งรวมถึงพี่น้องแรงงานไทยซึ่งมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอีกด้วย