
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2563 ผู้สื่อข่าวเดินทางลงพื้นที่ไปยังบ้านหนองตอกแป้น หมู่ 11 ต.สระคู อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ดเพื่อติดตามข่าวกรณีที่นางสาวอรสา ไพรพฤกษ์ อายุ 27 ปี ซึ่งไปก่อเหตุจะกระโดดตึกตายที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้จ.เชียงใหม่ โดยอ้างว่ามีปัญหาในครอบครัวกับสามี เพื่อขอความช่วยเหลือจากประชาชน แต่ปรากฏว่าหลังเกิดเหตุมีการโพสต์โซเชียลออกมาประจานว่านางสาวอรสา มีพฤติกรรมลวงโลก โดยมีการสร้างสถานการณ์จะฆ่าตัวตายมาแล้วในหลายจังหวัดเพื่อให้คนเกิดความสงสาร แล้วขอรับเงินบริจาคเพื่อที่จะเดินทางกลับบ้าน
จากการเข้าพบนายดี ปัจจุโส และนางเลี้ยงปัจจุโส อายุเกือบ 86 ปี ตายายของนางสาวอรสาเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและพื้นฐานของผู้ก่อเหตุ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าลวงโลกโดยตาและยายเล่าว่า ผู้ก่อเหตุเป็นหลานสาวที่เกิดจากลูกสาวของตนเองโดยแม่ทำงานรับจ้างแรงงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ส่วนพ่อแยกทางกัน ตั้งแต่ นางสาวอรสายังเด็กซึ่งตนเลี้ยงดูมาโดยตลอด กับพี่ชายของนางสาวอรสาอีก 1 คน หลังจากพ่อแม่แยกทางกันและแม่ก็เดินทางลงไปทำงานกรุงเทพฯต่อ ปล่อยให้ตนเองทั้งคู่ดูแลส่งเสียนางสาวอรสาโดยแม่ส่งเงินมาให้เป็นค่าใช้จ่าย ตลอด เดือนละกว่า 10,000 บาท รวมทั้งสร้างบ้านให้อยู่ แต่ปรากฏว่านางสาวอรสา ไม่ใส่ใจการเรียนแถมมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยในขณะเรียนหนังสือ จนกระทั่งจบประถม 6 ก็ไม่ยอมเรียนต่อแล้วหนีออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น จนมีครอบครัวตอนอายุ 14 ปี และคลอดลูกสาวแล้วก็แยกทางกับสามี เอาลูกมาให้ตนเลี้ยง
จากนั้นก็หนีไปอยู่ต่างจังหวัดหลายจังหวัด และไปๆมาๆ แต่พอกลับบ้านมาทุกครั้งจะมาขอเงินถ้าไม่ให้ก็คุกคาม ข่มขู่ หาเรื่องกับทุกคนเคยแม้แต่จะใช้มีดฟันและขู่ฆ่าตากับยาย บ่อยครั้งที่ไม่ได้เงินก็ลักของทุกอย่างในบ้านไปขายถ้าปิดห้องไว้ก็ทุบลูกบิดจนแตกหักเข้าไปลักขโมยของจนตนต้องทำประตูห้องใหม่โดยใช้สายยูคล้องกุญแจหลายตัว เพื่อให้ยากต่อการทุบทำลายเข้าไปลักทรัพย์แต่เมื่อขอเงินไม่ได้ ก็ทำลายพังประตูเข้าไปเอาของมีค่าไปขายจนแทบไม่มีอะไรเหลือ
เคยลักแม้กระทั่งข้าวเปลือกในยุ้งข้าวไปขาย พอเงินหมดก็กลับมา พอกลับมาตายายก็กลัวว่าจะมาลักของในบ้านไปขาย แม้จะเก็บของไว้ในห้องใส่กุญแจห้อง 2 ดอก ก็ยังงัดเอาทีวีและเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านไปขาย ได้เงินมาก็นำไปซื้อยามาเสพ และเคยแม้กระทั่งลักวัวที่กำลังตั้งท้อง ที่ตายายล่ามไว้ในทุ่งนาจูงไปขายให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านข้างเคียง ในราคา 18,000 บาท แล้วหลบหนีซึ่งตายายตามไปทันเอาวัวคืนมาได้ และคนที่ซื้อวัวก็ตามไปทันที่สถานีขนส่งได้เงินคืนมาเพียง 17,000 บาท
จากนั้นก็หายไปนาน แต่กลับมาบ้านทีไรก็มาสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวตลอด พบมีประวัติ โกหก ต้มตุ๋น หลอกลวง ทั้งคนไทยและต่างชาติ จนถูกจับติดคุกมาแล้ว 3 ครั้ง ในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ แม้แต่ฝรั่งก็ยังโดนหลอกเอาเงินและขังฝรั่งไว้ในบ้าน แล้วหนีไม่พ้นจนถูกจับดำเนินคดีแต่พออออกมา ก็ยังมีนิสัยเดิมๆ จนทุกคนเอือมระอาไม่อยากให้กลับบ้าน
ล่าสุดก็เห็นข่าวว่า ไปหลอกลวงคนที่เชียงใหม่ ทำทีว่ามีปัญหาชีวิตจะฆ่าตัวตาย ให้คนสงสารเพื่อขอเงิน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นตนจึงอยากขอเตือนทุกคนว่าอย่าหลงเชื่อ และอยากให้ตำรวจจับและขังตลอดชีวิต จะได้ไม่ไปทำให้คนเดือดร้อน และที่สำคัญไม่อยากให้ตำรวจปล่อยตัว เพราะจะสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมและคนในครอบครัวอีก ทุกอย่างในบ้านแทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว เคยแม้กระทั่งขู่จะจุดไฟเผาบ้านเมื่อขอเงินไม่ได้ ตนยืนยันว่าหลานไม่ใช่คนเสียสติไม่ได้เป็นบ้า เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ
ด้านนางเรียน เทียมสิงห์ เพื่อนบ้านของนางเลี้ยง ปัจจุโส กล่าวว่า รู้สึกเห็นใจครอบครัว และตา-ยาย ที่ทราบว่าถูกหลานข่มขู่ ขอเงิน ลักของในบ้าน ทุกอย่างไปขาย หากไม่ได้ก็ทำลายข้าวของ และไม่มีทางออก หากขอเงินไม่ได้บางทีก็จะเผาบ้าน และหายไปจากบ้านบ่อยๆ ทางทีก็ไปนานมาก พอไปก็มีข่าวว่าในทางลบตลอด ทั้งข่าวลักของ หลอกลวงคน พอก่อเหตุแล้วก็หนีกลับมาบ้าน พอเงินหมดก็ข่มขู่ขอเงิน ซึ่งตนก็เตือนเสมอว่าหากขอเงินก็ให้ไป เพราะทราบว่าแม่ของอรสาที่อยู่กรุงเทพฯ ส่งเงินมาให้ใช้ทุกเดือนละกว่า 10,000 บาท ตนก็บอกว่าแบ่งๆให้ไปบ้าง เพื่อไม่ให้ทำลายข้าวของและเพื่อความปลอดภัย ซึ่งนางเลี้ยง ปัจจุโส ก็ทำตามทีบอกแต่ก็ยังมีปัญหาตลอด ซึ่งตนก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร เพราะเมื่อนางอรสากลับมาทุกครั้งก็มีปัญหาทุกครั้ง มีทางออกอย่างเดียว คือให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องส่วนไหนก็ได้ให้เข้ามาดูแก้ปัญหาให้ ก่อนที่จะมีเรื่องร้ายๆจนถึงขนาดฆ่ากันตายเกิดขึ้น
ด้านนายสุพจน์ หินกอง อดีต ผอ.โรงเรียนที่นางสาวอรสา เคยเรียนอยู่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว กล่าวว่า ตามประวัติแล้วนางสาวอรสาตอนเรียนอยู่ในโรงเรียน ก็เป็นเด็กฉลาด เรียนดี แต่บางทีก็มีนิสัยลักษณะคล้ายเด็กพร่ำเพ้อขาดขาดเกินเกิน และบ่อยครั้งที่สร้างปัญหา โดยเฉพาะเวลาปิดเทอมจะหนีออกจากบ้าน ก็นำเรื่องไปปรึกษาผู้ปกครองคือตากับยายอยู่ตลอด และพยายามช่วยเหลือมาโดยตลอด ต่างจังหวัดก็เคยไปช่วยนำกลับมาบ้านแล้ว และช่วยหาทางออก เนื่องจากพบว่าเป็นเด็กที่มีปัญหาทางด้านครอบครัวขาดความอบอุ่น เพราะพ่อ-แม่แยกทางกัน จนเด็กจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้ว บอกว่าจะไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษา
จากการติดตามจึงทราบว่าไม่ไปเรียนแต่ไปมีครอบครัวจนมีลูก แล้วไปก่อเหตุหลายแห่ง เช่น สงขลา, หาดใหญ่, แม่ฮ่องสอน และอีกหลายจังหวัดก็ไปสร้างปัญหา เท่าที่ทราบและเห็นเป็นข่าวเช่น ที่โคราช ฉะเชิงเทราและที่ชลบุรีบ้าง ล่าสุดก็ที่ จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ ซึ่งตนเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ได้แต่เห็นใจและอยากให้ส่วนราชการช่วยแก้ปัญหานี้ ซึ่งน่าจะมีทางออกที่ดีที่สุด