
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. นางเมทินี ชโลธร รองประธาน ศาลฎีกา ในฐานะเลขาธิการเนติบัณฑิตยสภากล่าวถึงการเลือกตั้งกรรมการเนติบัณฑิตยสภาที่จะดำเนินการเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่แทนคณะกรรมการชุดเดิมที่จะหมดวาระลงในวันที่ 11 ก.ย.63 ว่าการเลือกตั้งกรรมการ เนติบัณฑิตยสภาชุดใหม่ได้มีกำหนดส่งบัตรเลือกตั้งให้สมาชิกวันที่ 18 มิ.ย.เเละมีกำหนดให้ส่งบัตรลงคะเเนนคืนภายในวันที่ 28 ส.ค.ก่อนเวลา 16.30 น.เเละตรวจนับคะเเนนวันที่ 29 ส.ค. นี้
ทั้งนี้บัตรเลือกตั้งกรรมการเนติฯจะมี 4 ประเภทดังนี้ 1.บัตรสีฟ้าเป็นประเภทข้าราชการตุลาการ 2.สีชมพูเป็นประเภทข้าราชการอัยการ 3.สีเหลืองเป็นประเภททนายความ 4.เขียวเป็นประเภทบุคคลอื่น โดยภายในซองบัตรเลือกตั้งแต่ละประเภทจะประกอบด้วยบัญชีรายชื่อสามัญสมาชิกผู้มีสิทธิ์ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการเนติฯ และส่งไปรษณีย์สำหรับใส่บัตรเลือกตั้งเพื่อส่งกลับมายังเนติบัณฑิตยสภา ซึ่งสามารถเลือกตั้งกรรมการเนติฯจากบุคคลในประเภทของตนจำนวนไม่เกิน 5 คน
โดยนางเมทินี กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการจัดการเลือกตั้ง ว่าปัจจุบันมีสมาชิกที่มีสิทธิเลือกตั้ง เเบ่งเป็นทนายความ 7,429 คน อัยการ 3,882 คน ตุลาการ 5,029 คน บุคคลอื่น 21,062 คน ซึ่งเนติบัณฑิตยสภาได้มีการจัดเตรียมบรรจุเอกสาร สมุดบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับเลือกตั้งบรรจุลงซองพร้อมบัตรเลือกตั้ง เพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ทำการเลือกตั้งและส่งกลับมายังเนติบัณฑิตยสภาโดยไม่ต้องติดแสตมป์ ซึ่งการส่งบัตรเลือกตั้งเราได้นัดหมายกับทางไปรษณีย์มารับซองวันที่ 18 มิ.ย.เพื่อส่งบัตรออกและคาดว่าในสัปดาห์ต่อไปบัตรก็จะถูกส่งถึงสมาชิก
ในกรณีที่มีการย้ายที่อยู่และหากมีการตีซองบัตรเลือกตั้งกลับมา ก็จะประสานไปยังข้อมูลที่สมาชิกเคยให้ไว้กับเนติบัณฑิตยสภาเพื่อสอบถามยืนยันสถานที่อยู่ที่ทำงานในปัจจุบันเพื่อส่งบัตรให้อีกครั้งเพื่อที่จะสามารถใช้สิทธิในการเลือกกรรมการได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ได้มีการประสานข้อมูลและปรากฏว่ามีการแจ้งกลับมายังเนติฯในเรื่องเเก้ไขที่อยู่อาศัยจำนวนมาก เนื่องจากการเลือกตั้งกรรมการจะมี 4 ปีครั้ง หลายคนอาจจะเปลี่ยนสถานะหรือที่อยู่เช่นก่อนหน้านี้เคยเป็นทนายความแต่ต่อมาสอบเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการได้แล้ว เราก็ต้องมีการตรวจสอบในการเลือกตั้งปีนี้เราพยายามหาข้อมูลทุกทาง ทั้งจาก ก.ต.ของศาล ก.อ.ของอัยการ เเละจากสภาทนายความ
ส่วนในประเภทบุคคลอื่นเราก็มีหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานต่างๆที่เชื่อว่าจะมีสมาชิกเนติฯทำงานอยู่หลาย ร้อยหน่วยงานก็ได้มีการยืนยันสถานะกลับมามาก จึงเชื่อว่าครั้งนี้บัตรเลือกตั้งจะถึงมือสมาชิกได้มากและทั่วถึง ตนหวังไว้ว่าในปีนี้จะมีคนใช้สิทธิมาก ซึ่งที่ผ่านมาการเลือกตั้งกรรมการเนติฯจะมีผู้ใช้สิทธิค่อนข้างน้อยปีนี้เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าผมใช้สิทธิ์จะต้องสูงขึ้นกว่าเดิมทุกสายอีก 20%เพราะคิดว่าการประชาสัมพันธ์และการส่งบัตรโดยคำนึงจุดหมายว่าถึงมือผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะได้รับมากขึ้นและสังเกตว่าปีนี้มีคนแสดงความประสงค์ว่าจะรับเลือกเข้าไปเป็นกรรมการเนติฯเเต่ละประเภทค่อนข้างคึกคักเยอะกว่าทุกปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์ไปในตัว
โดยเฉพาะครั้งนี้กรรมการเนติฯชุดที่กำลังเลือกอยู่นี้ที่จะได้เข้ามาบริหารเนติฯจะมาจากสายข้าราชการอัยการ สายอัยการจึงมีการเสนอตัวให้ได้รับเลือกเป็นกรรมการหลายคน หรือสายศาลเเละทนายความก็เพิ่มมากขึ้น จะเห็นว่าแต่ละคนก็เป็นผู้ที่ทำงานด้านกฎหมายมายาวนานมีประสบการณ์ระดับอาจารย์ ฉะนั้นไม่ว่าใครจะเป็นผู้ที่ได้รับเลือกเข้ามาก็เชื่อว่าจะมีการพัฒนามากขึ้น
"การที่มีเสนอตัวได้รับเลือกเป็นกรรมการเนฯจำนวนมากถือว่าดีมากที่ผ่านมาเนติฯจะเป็นองค์กรสถาบันการศึกษาที่ไม่หวังผลกำไร เราให้การศึกษาจบแต่ละปีเพื่อเป็นทางผ่านให้สำหรับผู้ที่สอบเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการคนจะมองว่าเป็นเรื่องของการเรียนการสอนเพื่อเป็นเนติบัณฑิตไทยแต่ความจริงแล้วเรามีกิจกรรมหลายอย่าง เช่นการจัดอบรมกฎหมายพิเศษ การสอนภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมายเพื่อเตรียมความพร้อม กองทุนพัชรกิติยาภาเพื่อการศึกษากฎหมายซึ่งให้ทุนแก่ผู้ที่จบเนติบัณฑิตไทยไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ที่ทำต่อเนื่องกันมาหลายปี การทำงานเหล่านี้จะทำให้เนติฯเป็นองค์กรที่ให้ความรู้ทางด้านกฎหมาย " เลขาธิการเนติฯกล่าวย้ำ
ทั้งนี้เนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปภัมภ์ เป็นองค์การอิสระ ที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ถือเป็นสถาบันสำคัญระดับสูงที่มีบทบาทส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยด้านวิชาการของการประกอบอาชีพทางกฎหมายรวมทั้งจัดหาทุน ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก รวมถึงมีการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายมีคณะกรรมการ 23 คนประกอบด้วยประธานศาลฎีกา เป็นนายก ประธานศาลอุทธรณ์ เป็นอุปนายกคนที่ 1 และอัยการสูงสุด เป็นอุปนายกคนที่ 2 คณะกรรมการที่เหลือ 20 คน มาจากการเลือกตั้งจาก สายตุลาการ อัยการ ทนายความ เเละบุคคลอื่น สายละ 5 คน โดยกรรมการมีวาระ 4 ปี
สำหรับบรรยากาศก่อนการส่งบัตรเลือกตั้งที่จะมีในวันที่ 18 มิ.ย.นั้นผู้ลงสมัครเป็นกรรมการเนติฯของทุกสายมีการหาเสียงกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะสายอัยการปีนี้ดุเดือดมาก เนื่องจากตามธรรมเนียม กรรมการผู้ที่จะได้รับเลือกจากสายอัยการจะได้ดำรงตำเเหน่งเลขาธิการเนติบัณฑิตยสภา เเละเลขาธิการสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
โดยนอกจากทีมเต็งที่มี นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา คิวขึ้นอัยการสูงสุด , นายชัชชม อรรฆภิญญ์ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ,นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรีอัยการคนดังหน้าสื่อ ,นาย มั่นเกียรติ ธนวิจิตรพันธ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ,น.ส.นารี ตัณฑเสถียร์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย รวม 5 คน
เเม้เป็นทีมที่เเข็ง เเต่ก็มีโอกาสที่จะโดนผู้สมัครรายบุคคลเข้าไปเเทรกได้สูงเช่นกัน เพราะในช่วงก่อนการเเจกบัตรลงคะเเนน อัยการมีการมองว่า ปีนี้สายอัยการที่จะได้โควต้าสำคัญควรจะมีคนที่มีประสบการณ์ในเนติบัณฑิตยสภาอยู่เเล้วเข้าไปซึ่งมองเเล้วในทีมจะมี 3 ตัวเลือกในทีมนายสิงห์ชัยที่มีประสบการณ์สูงเเต่ก็ไม่ทุกคน
นอกจากนี้ยังมี นายศักดา ช่วงรังษี ที่ประกาศตัวลงรับเลือกเป็นกรรมการมีประสบการณ์นั่งรองเลขาธิการสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา กว่า 15 ปี มีประสบการณ์ในหลายภาคส่วนในเนติฯสูงยังได้ประกาศนโยบายไว้ว่าจะมีส่วนผลักดันให้อัยการได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของเนติบัณฑิตยสภาอย่างเต็มที่ อย่างในเรื่องการสอนหนังสือหรือการตรวจข้อสอบ
ที่สำคัญนายศักดา นั้นมีความสนิทเเละได้รับการสนับสนุนเเละการช่วยเรียกคะเเนนเสียง จากนายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการอดีตอัยการสูงสุดที่มีบารมีในหมู่อัยการอย่างมากเนื่องจากเป็นเด็กเเปดริ้วเเละเป็นกรรมการในสมาคมชาวฉะเชิงเทราที่มีนายอรรถพล เป็นนายกสมาคมด้วยกัน ด้วยประสบการณ์เเละคนสนับสนุนโอกาสจึงมากที่จะเบียดเข้าไปเป็น 1 ใน 5 กรรมการเนติฯสายอัยการได้ไม่ยาก(รูป2)
รวมถึงยังมีบุคคลอื่นที่น่าสนใจ เช่น มล.ศุภกิตต์ จรูญโรจน์ อัยการพิเศษฝ่ายพัฒนากฎหมาย โดดเด่นงานบริหารและงานวิชาการเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการรองอัยการสูงสุดและอัยการสูงสุดมาหลายสมัยติดต่อกัน ในยุค อสส.คนปัจจุบันมีบทบาทในการผลักดันปรับปรุงโครงสร้างและตำแหน่งของอัยการมา
นางพฤฒิพร เนติโพธิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย ที่มีผลงานโดดเด่นทั้งในด้านสายงานวิชาการและสายงานบริหาร เป็นกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติสาขานิติศาสตร์ อาจารย์สอนกฎหมายที่เนติบัณฑิตยสภา อยู่ในสายงานให้คำปรึกษาและตรวจร่างสัญญาของรัฐมากว่า 20 ปี มีบทบาทสำคัญในการรักษาประโยชน์ของรัฐในการตรวจร่างสัญญาและเจรจาต่อรองโครงการรถไฟฟ้า 3 สนามบิน และโครงการขนาดใหญ่ต่าง ๆ ของอีอีซี มีนโยบายเด่นมุ่งผลักดันให้อัยการมีบทบาทในเนติบัณฑิตยสภามากขึ้นนายชาตรี สุวรรณิน ผู้ตรวจการอัยการที่เป็นอาจารย์ผู้บรรยายกฎหมายเนติบัณฑิตยสภามา26ปี เคยเป็น ก.อ.ที่ยังมีบารมีในองค์กร
ส่วนสายศาล นายธานี สิงหนาท ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ,นาย เอื้อน ขุนแก้ว ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ,นาย ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์ อธิบดีศาลแพ่งตลิ่งชัน (เลขาฯสำนักอบรมและศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาคนปัจจุบัน) ,นายทองธาร เหลืองเรืองรอง ผู้พิพากษาศาลฎีกา , นายอำนาจ พวงชมพู ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ อดีตอธิบดีศาลอาญาคดีทุจริตฯคนเเรก จับ5คนเป็นทีมเดียวกัน ยังเเข็ง ถ้าจะมีเเทรกเข้ามาได้คงเป็น นาย วิบูลย์ แสงชมพู ผู้พิพากษาศาลฎีกา คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม(กบศ.)เเละอดีต คณะกรรมการตุลาการ (กต.)ที่มาเเรง
สายทนายความคงหนีไม่พ้นสมาชิกของทั้ง 4 ทีมผสมกัน ได้เเก่ 1.ทีมดร.ถวัลย์ รุยาพร นายกสภา 2.ทีมว่าที่พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง กรรมการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย เนติบัณฑิตยสภา เเละอดีตผู้บริหารสภาทนายความ เเละ 3 ทีม ศ.(พิเศษ)ดร.เดชอุดม ไกรฤทธิ์ อดีตนายกสภาทนายความหลายสมัย เเละ4.ทีมคณะตราสามดวง ของนายนคร พจนวรพงษ์ กรรมการ อดีตผู้พิพากษาอาวุโส ที่ชูนโยบายโดดเด่นชัดเจนเรื่องผลักดันให้มีโควต้าอุปนายกคนที่3 ในเนติบัณฑิตยสภามาจากนายกทนายความพร้อมกล้าเเสดงความเห็นในสิทธิที่ทนายพึงมี
การเเข่งขันในสายทนายความเชื่อว่าการตัดสินใจส่วนมากจะเลือกจากผู้ที่เคยมีประสบการณ์เป็นอาจารย์ผู้บรรยายกฎหมายในเนติบัณฑิตยสภามาหลายปีมีลูกศิษย์หลายรุ่นเเละทนายความผู้มีชื่อเสียงในสังคมโดยผู้ที่มีตำเเหน่งในกรรมบริหารสภาทนายจะมีความได้เปรียบ มีการมองกันว่าโอกาสผู้ที่เป็นหัวหน้าทีมเเละสมาชิกของเเต่ละทีมที่มีบทบาทในสังคมจะมีสิทธิได้รับเลือก โดยในสายทนายความโอกาสที่ทีมไหนได้รับการเลือกยกทีมเลยเป็นไปได้น้อยมาก
ส่วนสายบุคคลทั่วไปซึ่งเป็นสายที่ผู้มีสิทธิเลือกจะเป็นจากสมาชิกนักกฎหมายที่ไม่อยู่ใน3ประเภทข้างต้น สายนี้การเเข่งขันไม่ค่อยตื่นเต้นเพราะมีการจับทีมของสมาชิกที่มีชื่อเสียงในวงการนักกฎหมายระดับประเทศ 5คน ประกอบด้วย นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการอดีตอัยการสูงสุด ,นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมคนปัจจุบัน , ศ.ดร.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ เเห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรมาจารย์ด้านวิ.อาญา, นายสมชาย จุลนิติ์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา, ศ.(พิเศษ) ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผ.อ.สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ อดีตปลัดก.ยุติธรรม ก็คงอยู่ที่ว่าสุดท้ายเเล้วคะเเนนของเเต่ละคนจะมากน้อยเเตกต่างกันอย่างไร