โดยนางสาวอัญกาญจน์ เปิดใจกับทีมข่าวว่า ป้าไม่ได้ทำแบบนั้น เพื่อเรียกร้องให้ใครมาช่วยเหลือหรือเอาเงินบริจาควันนั้นตั้งใจตายจริงๆ อยากเป็นศพร้องทุกข์ เพราะอย่างน้อยที่สุดจะทำให้รัฐบาลหันมามองดูคนจนบ้างก็จะยอมสละชีวิตเพราะแก่และเหนื่อย เนื่องจากตกงานมานานประกอบกับวันก่อนเกิดเหตุนั้นไม่ได้กินข้าวมา 2 วันกินเพียงน้ำและรื้อหาอะไรที่พอจะประทังได้ในตู้เย็น แม้จะเสียแล้วก็ต้องกินเพราะความหิว ซึ่งก่อนหน้าที่จะอดนั้น มีมาม่าเพียง 1 ห่อที่ต้องแบ่งกิน 3 มื้อ
ทั้งนี้ตั้งแต่ปลายปี 2561 เริ่มมีอาการเซ จึงไม่สามารถทำงานหนักได้ทำได้เพียงงานรับจ้างทำความสะอาดตามบ้านระยะเวลาสั้น และงานลูกจ้างรายวันและหางานทำอะไรอย่างอื่นให้พอประทังชีวิตไปได้ แต่ช่วงวิกฤตินี้ไม่มีงานจึงทำให้ขาดรายได้ และติดเงินค่าเช่าบ้านรวมแล้วประมาณ10,000 บาท
"ป้าไปเรียกร้องความเป็นธรรมขอเรียกร้องจริงๆคุณให้เงินคนช้า จะรู้ไหมว่าได้ฆ่าคนทั้งเป็น ไหนๆก็จะตายแล้วก็ขอเป็นศพร้องเรียนก็แล้วกัน ถ้าป้าตายคิดว่ารัฐบาลจะหันมาดูบ้างว่าช้าเกินไปไหมที่จะช่วยชีวิตคน การช่วยชีวิตคนต้องไม่ช้าโดนเฉพาะคนจนด้วยแล้วต้องยิ่งรีบช่วยเหลือและอยากจะถามใครก็ตามที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาลว่าจะจัดจำแนกคนจนคนรวยด้วยวิธีไหนและทำอย่างไร ควรคัดสรรขึ้นมา คนจนที่สุดควรรีบช่วยก่อน" นางสาวอัญกาญจน์กล่าวทั้งน้ำตา
นางสาวอัญกาญจน์ กล่าวอีกว่าคนจนอย่างพวกป้ามีหัวสมองในการทำมาหากิน เราต้องดิ้นรนให้ถึงที่สุดต้องหาคนคัดสรรคนที่จนจริงๆ คนระดับกลาง และคนรวย ต้องมีการคัดกรองให้เร็วกว่านี้บัตรประชาชนมีไว้ทำอะไรรัฐบาลต้องคิดนิดนึงว่าส่วนใหญ่คนที่เข้าอินเตอร์เน็ตได้คือคนรวยทั้งหมดคนจนเข้าไม่เป็นหรอก ยิ่งตาสีตาสา ไม่สามารถเข้าถึงได้ออกกฎหมายมาให้คนไปแจ้งสถานะที่แท้จริง ต่อไปจะได้ไม่มีคนรวยมาแย่งเงินคนจน
นอกจากนี้ นางสาวอัญกาญจน์ ได้เผยถึงอาการของตัวเองหลังจากออกจากโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 30 เมษายน ว่า ขณะนี้ดีขึ้นแล้ว แต่หากเดินมากๆ ก็จะเหนื่อยและหัวใจกระตุก รวมถึงมีอาการเจ็บขา และมึนงงซึ่งพรุ่งนี้(8 พฤษภาคม 2563) ก็จะไปหาหมอตามนัดต่อไปส่วนเงินค่าเช่าที่ยังค้างลุงได้มีคนใจดีช่วยเหลือแล้ว และป้าได้รีบนำเงินไปใช้ทั้งหมดแล้ว