
เมื่อพูดถึง "โรคระบาด" ในปัจจุบัน คงหนี้ไม่พ้นการระบาดของโคโรน่าไวรัส หรือ COVID-19 แต่ถ้าหากเป็นในอดีตโรคระบาดที่สร้างความตระหนกแก่ผู้คน ก็คงจะเป็น "โรคห่า" ซึ่งแท้จริงแล้ว "โรคห่า" ไม่ใช่ชื่อเรียกเฉพาะโรคใดโรคหนึ่ง แต่เป็นโรคที่ผู้คนในสมัยก่อน ใช้เรียกโรคระบาด
นภนาท อนุพงศ์พัฒน์ ผู้จัดการหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์สุขภาพไทย ได้ให้ความกระจ่างว่า "โรคห่า" เป็นคำใช้เรียกโรคระบาด 3 โรค คือ กาฬโรค อหิวาตกโรค และไข้ทรพิษ
ในอดีต ยามเกิดโรคระบาดแต่ละครั้ง จะมีความรุนแรงและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ด้วยความรู้เกี่ยวกับโรคของคนสมัยก่อนไม่ดีเฉกเช่นทุกวันนี้ อีกทั้งเทคโนโลยีทางการแพทย์ เพิ่งจะค้นพบในระยะหลัง
จากหลักฐาน "จามเทวีวงศ์" พงศาวดารเก่าแก่ของเมืองลำพูน ระบุว่า ได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงที่มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งการควบคุมโรคสมัยนั้นคือปล่อยทิ้งคนป่วยไว้ ส่วนที่เหลือจะพากันหนีไป จนกลายเป็นเมืองร้าง เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีก็ค่อยกลับมาอยู่อาศัยใหม่
แม้แต่การเริ่มตั้งกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ยังมีสาเหตุมาจากการย้ายเมืองเพื่อหนีโรคระบาดเช่นกัน
แท้จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้โรคระบาดหายไป ไม่ได้มาจากยารักษาโรค หรือการกักกันโรคแต่อย่างใด หากแต่มาจากการทิ้งบ้านทิ้งเมืองหนีโรคระบาด
ล่วงเลยเวลามานานนับพันปี กว่าจะรู้สาเหตุว่าอะไร คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก เหมือนห่าฝน ไม่ใช่เพราะคำสาป หรือภูตผีปีศาจ แต่เกิดจาก "เชื้อโรค" ต้นตอที่ทำให้เกิดโรคระบาด
ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การแพทย์สมัยใหม่เป็นที่ยอมรับมากขึ้น คือการที่หมอบรัดเลย์นำ "ทฤษฎีเชื้อโรค" ด้วยการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษเข้ามาเผยแพร่ จุดเปลี่ยนสำคัญอีกประการของสาธารณสุขไทย เกิดขึ้นเมื่อครั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระประชวรจากโรคไข้หวัดใหญ่สเปน ที่ระบาดไปทั่วโลกในช่วง พ.ศ. 2461-2463 หลังจากที่พระองค์หายจากพระอาการประชวร ทรงพระราชทานเงินจำนวน 100,000 บาท สำหรับจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์เพื่อรักษาผู้ป่วย ทรงเล็งเห็นความสำคัญด้านสุขภาพของคนไทย จึงมีดำริตั้ง "กรมสาธารณสุข" ขึ้น เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2461 กลายเป็นที่มาของกระทรวงสาธารณสุขจวบจนทุกวันนี้