svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ศุลกากร ชู 5 มาตรการ ยกอันดับ Doing Business 2021

กรมศุลกากร นำโดยนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร ชู 5 มาตรการทางศุลกากร เพื่อยกอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจในประเทศไทยด้านการค้าระหว่างประเทศ (Doing Business 2021 : Trading Across Border) ในช่วงปี พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2563 ได้มอบหมายให้นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ร่วมงานการนำเสนอผลงาน "การยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ" โดยได้รับเกียรติจากนางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ รองเลขาธิการ ก.พ.ร. รักษาราชการแทน เลขาธิการ ก.พ.ร. เป็นประธานในการเปิดประชุมและบรรยายพิเศษ เรื่อง การพัฒนาระบบราชการเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย ณ ห้องบอลรูม ซี ชั้น 6 โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ถนนเพชรบุรี กรุงเทพฯ ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เพื่อชี้แจงความก้าวหน้าในการปรับปรุงประสิทธิภาพภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ซึ่งจะมีผลต่อการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย (Doing Business 2021) และรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน ประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สำหรับมาตรการทางศุลกากรเพื่อยกอันดับความยาก-ง่าย ในการประกอบธุรกิจในประเทศไทยของธนาคารโลกด้านการค้าระหว่างประเทศ (Doing Business 2021 : Trading Across Border) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 จนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย 5 มาตรการ ดังนี้

มาตรการแรก กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึงสำหรับของนำเข้า (Pre - Arrival Processing : PAP) เป็นหนึ่งในมาตรการทางศุลกากรที่สำคัญ ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการค้า (Trade facilitation Agreement : TFA) ทั้งนี้ กรมศุลกากรได้ออกประกาศที่ 5/2561 เรื่อง กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนที่สินค้ามาถึงกำหนดให้สายเรือและสายการบินต้องรายงานเรือ/อากาศยานเข้าและการยื่นบัญชีสินค้าล่วงหน้าก่อนเรือ/อากาศยานมาถึง ซึ่งทำให้ผู้นำเข้าสามารถยื่นใบขนสินค้าและชำระค่าภาษีอากรล่วงหน้า และสามารถติดต่อเพื่อรับสินค้าได้ทันทีเมื่อเรือหรืออากาศยานมาถึง (กรณี Green Line) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระยะเวลาเฉลี่ยตั้งแต่สินค้ามาถึงกระบวนการรับของออกจากอารักขาศุลกากร เวลาระหว่างการยื่นใบขนสินค้าขาเข้าชำระอากรล่วงหน้าผ่านมาตรการ Pre - Arrival Processing ทางอากาศยานและทางเรือ ใช้ระยะเวลาเฉลี่ยน้อยกว่ากรณีการยื่นใบขนสินค้านำเข้าแบบปกติ ทั้งกรณีไม่เปิดตรวจ (Green Line) และกรณีเปิดตรวจ (Red Line) ทั้งนี้ กรมศุลกากรได้เปิดใช้ระบบให้บริการทุกสำนักงานศุลกากรและด่านศุลกากรทุกแห่ง ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2561

มาตรการที่สอง การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bill Payment) กรมศุลกากรได้เปิดให้บริการระบบ e-Payment ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2562 โดยผู้ประกอบการสามารถชำระเงินเกี่ยวกับการดำเนินพิธีการทางศุลกากรผ่านช่องทาง Internet Banking, Mobile Banking, ATM, Counter Bank และตัวแทนชำระเงิน โดยมีธนาคารที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 6 ธนาคาร และ 2 ตัวแทนรับชำระ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด และ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) และมีธนาคารสนใจเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นอีก 5 ธนาคาร และ 1 ตัวแทนรับชำระ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 60 และประการสำคัญมาตรการดังกล่าวผู้ประกอบการ สามารถสั่งพิมพ์ใบเสร็จรับเงินได้ด้วยตนเอง โดยในช่วง 14 ม.ค. 2562 31 ม.ค. 2563 มีสถิติการสั่งพิมพ์ ใบเสร็จด้วยตนเองมากถึง 2,832,161 ฉบับ โดยผลจากมาตรการเพิ่มช่องทางการรับชำระเงินผ่าน Bill Payment ทำให้ผู้ประกอบการสามรถลดระยะเวลาติดต่อกับกรมศุลกากร ลดลง 3 ชั่วโมง ต่อครั้งและลดค่าใช้จ่าย 433.74 บาท/ครั้ง นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังได้ผลักดันผู้ประกอบการที่ยังไม่ทราบถึงการเปิดใช้ระบบและยังชำระด้วยเงินสด /เช็คให้เข้าร่วมโครงการโดยการจัดสัมมนาและทำการให้ข้อมูลและประโยชน์กับผู้ประกอบการโดยตรง (Direct Approach to targe) เพื่อเชิญชวนให้ชำระเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น
มาตรการที่สาม การไม่เรียก/ไม่รับสำเนาใบขนสินค้าที่มีในระบบ e-Customs (No Customs Declaration Copy) โดยสำนักงานศุลกากร ด่านศุลกากร การท่าเรือแห่งประเทศไทย และท่าเรือแหลมฉบัง ไม่เรียก/ไม่รับสำเนาใบขนสินค้าในขั้นตอนการตรวจปล่อย ทำให้สามารถลดสำเนาใบขนสินค้าที่ผู้มาติดต่อ/ ผู้ประกอบการต้องพิมพ์ ปีละประมาณ 60 ล้านแผ่น และลดค่าใช้จ่ายกระดาษได้ไม่น้อยกว่าปีละประมาณ 30 ล้านบาทมาตรการที่สี่ มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพแฟ้มบริหารความเสี่ยงเพื่อลดอัตราการเปิดตรวจ (Risk Based Management on Profile) โดยพัฒนาแฟ้มบริหารความเสี่ยงในการคัดกรองและกำหนดการเปิดตรวจสินค้าโดยให้มี อัตราการเปิดตรวจลดลงอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดอัตราการเปิดตรวจ สำหรับสินค้าที่นำเข้าเก็บรักษาในคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไป เขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรีโดยวิธีมัดลวดให้เป็นไปตามหลักบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ทำให้สามารถลดต้นทุน/ค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการนำเข้า อาทิ ค่าภาระเคลื่อนย้ายตู้สินค้า ค่าใช้จ่ายในการจ้างรถหัวลาก ค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่วางตู้คอนเทนเนอร์ ค่าใช้จ่ายในการจ้างตัวแทนออกของ เป็นต้น ทั้งนี้อัตราการเปิดตรวจสินค้านำเข้าพิกัด 8708 มีสัดส่วนที่ลดลง โดยเดือนมกราคม 2561 มีอัตราการเปิดตรวจ ร้อยละ 37 และเดือนธันวาคม 2562 ลดลงเหลือร้อยละ 26 มาตรการที่ห้า ระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์แบบขับผ่าน (DRIVE THROUGH X-RAY SCANNER) เป็นเทคโนโลยีในการเอกซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ยานพาหนะขนส่งสินค้า รวมทั้งยานพาหนะโดยสาร ซึ่งในเดือนมีนาคม 2563 กรมศุลกากรได้จัดหาเครื่อง DRIVE THROUGH X-Ray Scanner เพิ่มอีก 2 เครื่อง มาใช้ร่วมกันเครื่อง X-Ray Scanner ที่มีอยู่เดิม 2 เครื่อง และเครื่อง X-Ray แบบ Fixed ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยประสิทธิภาพของ X-Ray Scanner สามารถเอกซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้าได้ 150 ตู้/ชั่วโมง มากกว่า X-Ray แบบ Fixed ที่เอกซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้าได้ 30 ตู้/ชั่วโมง คิดเป็น 5 เท่าทำให้สามารถลดระยะเวลาการติดต่อของผู้ประกอบการลดลง กล่าวคือ กรณีเอกซเรย์สินค้านำเข้า ด้วย X-Ray แบบ Fixed ใช้เวลา 7.45 นาที/ตู้ ขณะที่ ใช้ X-RAY Scanner ใช้เวลาเพียง 1 นาที/ตู้ ลดลง 6.45 นาที/ตู้ คิดเป็นร้อยละ 86.5 และกรณีเอกซเรย์สินค้าส่งออก ด้วย X-Ray แบบ Fixed ใช้เวลา 3 นาที/ตู้ ขณะที่ ใช้ X-RAY Scanner ใช้เวลาเพียง 1 นาที/ตู้ ลดลง 2 นาที/ตู้ คิดเป็นร้อยละ 66.7 ทั้งนี้การเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของ X-RAY Scanner จะส่งลดระยะเวลาการเอกซเรย์สินค้า ระยะเวลาการรอคอยและระยะเวลาความแออัด ที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ
กรมศุลกากรมุ่งเน้นที่จะพัฒนามาตรการทางศุลกากรเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับ ผู้ประกอบการ เพื่อลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการนำเข้า ส่งออกสินค้า และยกระดับความสะดวกในการดำเนิน ธุรกิจ ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต ์www.customs.go.th ในหัวข้อ Doing Business : Trading Across Border