ด้านการค้าชายแดนมาเลเซียยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่ง มูลค่า 437,983 ล้านบาท ลดลง 7.37% เป็นการส่งออก211,776 ล้านบาท ลดลง 12.68% นำเข้า 226,207 ล้านบาท ลดลง 1.77% รองลงมาคือเมียนมา มูลค่า 164,420 ล้านบาท สปป.ลาวมูลค่า 164,800 ล้านบาท และกัมพูชา มูลค่า 132,759 ล้านบาทขณะที่การค้าผ่านแดนจีนตอนใต้มีมูลค่าสูงสุด มูลค่า 107,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น27.83% เป็นการส่งออก 46,349 ล้านบาท เพิ่มขึ้น64.98% นำเข้า 60,866 ล้านบาท เพิ่มขึ้น9.12% รองลงมาคือ เวียดนาม มูลค่า 56,251 ล้านบาท และสิงคโปร์ มูลค่า 62,116ล้านบาท
นายกีรติ กล่าวว่าสถานการณ์การค้าชายแดนและผ่านแดนลดลง โดยมีปัจจัยกระทบจากค่าเงินบาทแข็งตัวมากขึ้นปัญหาของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนยังคงยืดเยื้อความไม่มีเสถียรภาพของค่าเงินของแต่ละประเทศรวมถึงไทยและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ซึ่งการค้าด้านมาเลเซียพบว่าการส่งออกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มสินค้ายางพารา/ผลิตภัณฑ์ยาง
ขณะที่ สปป.ลาว สถานการณ์การค้ายังคงหดตัวโดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันดีเซล รถยนต์ อุปกรณ์ฯ ด้านเมียนมามูลค่าขยายตัวแต่การส่งออกยังคงหดตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าน้ำมันดีเซลและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สำหรับกัมพูชา นับเป็นประเทศที่การค้าขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยการส่งออกสูงถึง 16.87% โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์รถยนต์ อุปกรณ์ฯ เป็นต้น ในขณะที่การค้าผ่านแดน ด้านจีนตอนใต้มีอัตราขยายตัวสูงถึง 27.83% สินค้าส่งออกที่ขยายตัวสูง ได้แก่ ผักผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและเครื่องคอมฯ ด้านเวียดนาม การส่งออกลดลง โดยเฉพาะผลไม้สดแช่เย็นส่วนสิงคโปร์ สถานการณ์การค้ามีภาวะลดลง อาทิ กลุ่มสินค้าเครื่องยนต์สันดาปและเครื่องคอมฯ
อย่างไรก็ตาม กรมฯยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดนอย่างต่อเนื่อง โดยต้นปี 2563มีแผนการจัดงานมหกรรมการค้าชายแดน ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและภาคใต้ ซึ่งสอดรับกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการค้าชายแดนเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่เขตเศรษฐกิจที่ได้รับการพัฒนาไว้แล้วถือเป็นการกระตุ้นการส่งออกและสร้างขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกให้เพิ่มมากขึ้น