วันนี้ (22 พ.ย. 62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กรรมการและเลขานุการ ครม.เศรษฐกิจ เปิดเผยผลการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ว่า ครม.เศรษฐกิจรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม ของปี 2562 ที่ประกาศในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สาม มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 2.4% และไตรมาส 4 คาดว่าขยายตัว 2.8% ทั้งปีขยายตัว 2.6% โดยไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ GDP ขยายตัวเร่งขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่สอง ซึ่งประกอบด้วยประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไทย และสิงคโปร์ ทั้งนี้ มีหลายประเทศที่ GDP ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง คือสหรัฐฯ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ขณะที่ยูโรโซนกับเกาหลีใต้ อยู่ในกลุ่มประเทศที่ GDP ขยายตัวต่อเนื่องเท่าๆ เดิม
นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ครม.เศรษฐกิจ รับทราบภาวะเศรษฐกิจในประเด็นต่างๆ โดยเป็นครั้งแรกในรอบหลายไตรมาสที่ผ่านมา ที่ตัวเลขของเศรษฐกิจปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ถ้าดูตัวเลขเศรษฐกิจเมื่อปีที่แล้วเริ่มจากประมาณ 5.0 แล้วทยอยลดลงมา ในสามไตรมาสที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 3.6 ลงมาที่ 2.8 และ 2.3 ซึ่งการที่ประเทศไทยสามารถดูแลให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาปรับตัวดีขึ้นอีกเล็กน้อย ถือเป็นความสำเร็จเป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องขับเคลื่อนกันต่อไป และคาดว่าเมื่อดูประมาณการในไตรมาสที่สี่ ก็น่าจะดีกว่าไตรมาสที่สาม จะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่ช่วงที่ปรับดีขึ้นจากเดิม เริ่มทรงตัวได้ และในช่วงถัดไปเมื่อไตรมาสที่สี่ขับเคลื่อนได้ดีกว่านี้ ก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่น การจับจ่ายใช้สอย และการขับเคลื่อนการลงทุนภายในประเทศต่อไป
ครม.เศรษฐกิจ ได้หารือถึงประเด็นต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลก ที่ในขณะนี้เศรษฐกิจโลกยังมีการชะลอตัวอีกระยะเวลาหนึ่ง ปกติเวลาที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงขาลง จะเกิดขึ้นอย่างน้อย 2 -3 ปี เราเดินมาได้ประมาณเกือบ 1 ปีครึ่งแล้ว ทั้งนี้ จะได้เห็นถึงแรงกดดันที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยต่อไป รวมถึงเรื่องความผันผวนต่างๆ เช่น สงครามทางการค้า Brexit และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในแผนที่โลกขณะนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อการส่งออกของไทย รวมทั้งกดดันต่อการขยายตัวของไทยในช่วงต่อไป ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจของปี 2563 จากเดิม 3 - 4% ลงมาอยู่ที่ 2.7 - 3.7%
พร้อมกับ ครม. เศรษฐกิจ ได้หารือถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงเวลาประมาณ 5 สัปดาห์ที่เหลือของปี 2562 รวมทั้งการกำหนดเป้าหมายสำหรับปี 2563 ที่จะดำเนินการในช่วงถัดไป โดยองค์ประกอบของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามปี 2562 มีองค์ประกอบของเศรษฐกิจหลายอย่างที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนที่ยังเป็นปัญหาอยู่คือการบริโภคภาคเอกชน การก่อสร้าง การไฟฟ้า ก๊าซ อสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับแรงกดดัน ขณะเดียวกัน การส่งออก และการผลิตอุตสาหกรรม ยังเป็นสาขาที่มีปัญหาอยู่ ซึ่ง ครม.เศรษฐกิจ ได้เห็นปัญหานี้และสั่งการให้ไปติดตามเรื่องการผลิตอุตสาหกรรม รวมทั้งให้ไปสร้างความเชื่อมั่นการบริโภคด้วย
สำหรับการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ได้ตั้งเป้า GDP อยู่ที่ 2.7 - 3.7% แต่อาจจะลดลงเล็กน้อยเพราะเศรษฐกิจโลกยังมีแรงต้านอีกมาก จึงได้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันซึ่งเป็นการปรับเป้าหมายเดิมที่เคยกำหนดไว้ โดยได้มีแนวทางบริหารจัดการเศรษฐกิจในปี 2563 รวม 5 ด้าน ประกอบด้วย 1. การดูแลเกษตรกร กำลังแรงงาน ผู้มีรายได้น้อย SMEs และเศรษฐกิจฐานราก 2. การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ 3. การขับเคลื่อนการส่งออกให้ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3.0 ในปี 2563 4. การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่ได้กำหนดเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2563 จำนวน 41.8 ล้านบาท และ 5. การสร้างความเชื่อมั่นและการสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน
ครม.เศรษฐกิจ ยังได้หารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนเรื่องนโยบายการเงิน - การคลัง และนโยบายแต่ละด้าน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดูแลเรื่องผู้ส่งออก โรงสีข้าว อ้อย กุ้ง และเรื่องภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น โดยให้มีการวางแผนเตรียมการเรื่องน้ำเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งในปีหน้า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการหาแนวทางขับเคลื่อนการลงทุนภายในประเทศ โดยนายกฯ มอบหมาย BOI ไปหาแนวทางเพิ่มเติมในการส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศต่อไป