
พระธรรมรัตนดิลก (อาคม ป.ธ.๗) อดีตเจ้าอาวาสวัดบุปผาราม ธนบุรี เคยได้รับอาราธนาไปเทศน์ในกองทัพเรือเป็นประจำ คราวหนึ่งท่านเทศน์เรื่อง "เจ๊กเฮง" กับ "เจ๊กเจ็ง" ท่านเล่าว่า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีหนุ่มจีน ๒ คน ชื่อเฮง กับเจ็ง เดินทางจากเมืองจีนมาเมืองไทยแบบ "เสื่อผืนหมอนใบ"สองคนมีทุนติดตัวมานิดหน่อย ไม่พอที่จะทำอย่างอื่นได้ จึงยึดอาชีพรับซื้อขวดขาย อาศัยพักใต้ถุนกุฏิวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อเจ้าอาวาสอุปกรณ์รับซื้อขวดก็มี "หลัว" คู่หนึ่ง "ไม้คาน" อันหนึ่ง เช้าขึ้นมาก็หาบหลัวไปตามบ้านผู้คน รับซื้อขวดเปล่าเอาไปขายต่อให้โรงงานอาชีพนี้คนจีนที่อพยพมาเมืองไทยสมัยนั้นน่าจะทำกันทั่วไป เมื่อเป็นเด็กเรายังเคยได้ยินเสียงร้อง "มีขวดมาขาย" และคำเรียก "เจ๊กขายขวด" ติดหูมาจนทุกวันนี้เจ๊กเฮงกับเจ๊กเจ็ง เข้าหุ้นกันรับซื้อขวดขาย ทำสัญญาใจกันว่า.. ถ้ามีกำไรยังไม่ถึง ๘๐ ชั่ง จะไม่กินเป็ดกินไก่อันเป็นอาหารที่มีราคาแพง ได้กำไรมาก็เอาไปฝากหลวงพ่อไว้เหมือนกับเป็นธนาคารวันหนึ่ง ระหว่างหาบหลัวซื้อขวด เจ๊กเจ็งไปแวะพักที่ข้างโรงบ่อน แล้วเลยเข้าไปเล่นโป เผอิญเล่นได้ จึงเอาเงินที่เล่นโปได้ไปซื้อเป็ดไก่กินด้วยความอยาก แล้วยังซื้อไปฝากเจ๊กเฮงด้วยเจ๊กเฮงเห็นว่าเจ๊กเจ็งผิดสัญญา เพราะเงินกำไรยังมีไม่ถึง ๘๐ ชั่ง จึงขอแยกทาง แบ่งเงินที่ฝากหลวงพ่อไว้คนละครึ่ง แล้วต่างคนต่างไปเจ๊กเฮงยังคงหาบหลัวซื้อขวดขายต่อไปด้วยความอดทน จนมีทุนมากขึ้นก็ค่อยขยับขยายกิจการค้าขาย ได้เมียเป็นคนไทย มีลูกก็ช่วยกันทำมาหากิน จนในที่สุดก็ร่ำรวยเป็นเศรษฐีเศรษฐีเฮงมีแก่ใจช่วยอุดหนุนกิจการสาธารณกุศลของทางบ้านเมืองเสมอ จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยา"พระยาเฮง" เป็นคนกตัญญู เมื่อร่ำรวยแล้วก็กลับไปอุปถัมภ์บำรุงวัดที่ตนเคยได้อาศัย และที่สำคัญ..คิดถึงคุณของไม้คานเป็นที่ยิ่ง ได้เอาไม้คานที่เคยใช้หาบหลัวมาปิดทอง ใส่ตู้ไว้เป็นอย่างดีในที่บูชานอกจากนี้ด้วยความที่เคยอดอยาก ยากจนมาก่อน พระยาเฮงได้ตั้งโรงทานไว้ที่หน้าบ้าน หุงข้าวเลี้ยงคนโซทุกเช้าฝ่ายเจ๊กเจ็ง แยกทางกับเพื่อนแล้ว ได้เงินส่วนแบ่งมาก้อนหนึ่ง ก็ไม่เป็นอันที่จะคิดทำอาชีพขายขวดอีก หวนกลับไปเล่นการพนัน ในที่สุดก็หมดตัว! สิ้นท่าเข้าก็เลยยึดอาชีพขอทานวันหนึ่งเจ๊กเจ็งโซซัดโซเซไปถึงโรงทานของพระยาเฮง พระยาเฮงจำเพื่อนได้ ก็ให้บ่าวไปเรียกมา เจ๊กเจ็งจำเพื่อนไม่ได้เพราะราศีพระยาจับเป็นสง่า ดูไม่ออก พระยาเฮงก็ไม่แสดงตัวว่าเป็นเพื่อนเก่า สั่งให้รับเจ๊กเจ็งไว้เป็นคนทำสวนในสวนบ้านพระยาเฮงมีต้นมะขาม ๒ ต้น ต้นหนึ่งเล็ก ต้นหนึ่งใหญ่ พระยาเฮงออกกฎให้เจ๊กเจ็งกินเฉพาะข้าวกับปลาเค็มต้มใบมะขามอ่อน ให้หุงหากินเอง ข้าวกับปลาเค็มให้เบิกจากโรงครัว ส่วนใบมะขามให้รูดจากต้นเล็กก่อน ถ้าหมดให้มาบอกเจ๊กเจ็งรูดใบมะขามต้นเล็กไปต้มกับปลาเค็มได้ไม่กี่วัน ใบมะขามก็หมดต้น ก็ไปบอกพระยาเฮง พระยาเฮงสั่งให้รูดจากต้นใหญ่ได้ แต่ให้รูดทีละซีก เมื่อซีกหนึ่งหมดจึงจะรูดอีกซีกหนึ่งได้ ใบมะขามหมดให้มาบอกเจ๊กเจ็งรูดใบมะขามต้นใหญ่กว่าจะหมดซีกก็เป็นเดือน แล้วก็ไปขออนุญาตรูดจากอีกซีกหนึ่ง พอซีกนี้หมด ซีกเก่าก็แตกใบอ่อนทันรูดกินได้อีก ก็ไปรูดจากซีกเก่า กว่าซีกเก่าจะหมด ซีกใหม่ก็แตกใบอ่อนอีกเป็นอันว่ารูดใบมะขามต้มปลาเค็มกินได้ทั้งปีเจ๊กเจ็งไปเบิกข้าวสารและปลาเค็มจากโรงครัวเป็นระยะๆ และไม่เคยไปบอกว่าใบมะขามหมดวันหนึ่ง พระยาเฮงให้เรียกเจ๊กเจ็งมาถามว่า ทราบว่าเบิกข้าวสารกับปลาเค็มจากโรงครัวตามปกติ แต่ทำไมไม่เห็นมาขออนุญาตรูดใบมะขามเจ๊กเจ็งก็บอกว่าใบมะขามยังไม่หมดสักทีพระยาเฮงจึงพาเจ๊กเจ็งขึ้นไปบนเล่าเต๊ง.. ชี้ให้ดูไม้คานที่ปิดทองอยู่ในตู้ แล้วถามว่า "ไม้คานของลื้ออยู่ไหนล่ะ?"เท่านั้นแหละ.. เจ๊กเจ็งให้มาพิจารณาพระยาเฮงอย่างตั้งใจ แล้วจึงจำเพื่อนได้.. ก็ร้องไห้..พระยาเฮงบอกว่า ที่ให้กินข้าวกับใบมะขามต้มปลาเค็มก็เพราะจะสอนให้รู้สึกตัว เมื่อเงินยังมีน้อย ถ้ากินใช้หมดก็เหมือนมะขามต้นเล็ก รูดใบกินไม่กี่วันก็หมด แต่ถ้าสะสมไว้ทำทุนให้มีกำไรมากขึ้น ก็เหมือนมะขามต้นใหญ่ รูดกินได้ทั้งปีก็ไม่หมด"อั๊วะจะให้ทุนลื้อไปเริ่มต้นหาบหลัวขายขวดใหม่ เหมือนตอนแรกที่มาจากเมืองจีน ลื้อต้องทำตามที่อั๊วะเคยทำมาอย่างเคร่งคัดนะ"เจ๊กเจ็งก็ไปเริ่มต้นหาบหลัวซื้อขวดขายตามที่พระยาเฮงแนะนำ ต่อมาก็ได้เป็นเศรษฐีอีกคนหนึ่งในเมืองไทย------------------------
ในอดีต "ไม้คานปิดทอง" คงจะมีอยู่ตามบ้านของเจ้าสัวทั่วไปในเมืองไทย รุ่นลูกก็ยังคงนับถือบูชาเพราะเคยเห็นเตี่ยใช้หาบหลัวเลี้ยงพวกตนมา ทั้งเคยมีส่วนร่วมในความทุกข์ยากมาด้วยกันแต่เมื่อนานหลายรุ่นเข้า ชั้นรุ่นหลังๆ ไม่เคยเห็นภาพหาบหลัว ไม่รู้ว่าความลำบากยากจนเป็นอย่างไร เกิดมาก็เป็นเศรษฐีแล้ว ไม้คานปิดทองของบรรพบุรุษอาจไม่มีความหมายอะไรแม้แต่น้อย บางที.. จะมีคนปลายแถวเห็นว่าเป็นของเกะกะรกรุงรังด้วยซ้ำไปสังคมไทย.. แม้แต่สถาบันอันสูงส่ง ยังถูกคนบางกลุ่มในปัจจุบัน มองเหมือนไม้คาน คือเห็นว่า มีไว้ก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อะไร ไม่ใช่เพราะไม่รู้ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของชาติ หากแต่เพราะในหัวใจขาดความตระหนักสำนึกถึงคุณค่า ที่เรียกว่า ความกตัญญูรู้คุณแม้ทุกวันนี้จะไม่ต้องใช้ไม้คานหาบหลัวอีกแล้ว แต่ไม้คานก็ยังมีคุณค่าเสมอ..ไม่แง่ใดก็แง่หนึ่งไม้คานไม่เคยไร้ค่า แต่คนที่มองไม้คานนั่น ไม่แน่ ...