svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

โรคน้ำกัดเท้า...ที่มากับน้ำท่วม

โรคน้ำกัดเท้า หรือโรคกลากที่เท้า เป็นการติดเชื้อราประเภทหนึ่งของเท้า ในภาษาอังกฤษมีชื่อว่า Athlete's foot ซึ่งมาจากการเป็นโรคที่พบบ่อยในนักกีฬา ส่วนในทางการแพทย์จะเรียกว่า Tinea pedis ซึ่งหมายถึงโรคกลากที่เท้า

โรคกลากที่เท้าเป็นโรคที่พบบ่อย โดยมีการศึกษาพบว่า คนส่วนใหญ่จะเป็นโรคน้ำกัดเท้าในช่วงชีวิตหนึ่งของพวกเขา โรคน้ำกัดเท้าจะเกิดขึ้นในประมาณ 10% ของประชากรโลก

โรคกลากที่เท้าจะเริ่มตรงบริเวณระหว่างนิ้วเท้า พบบ่อยในคนที่เท้าเปียกเกือบตลอดเวลาหรือใส่รองเท้าที่คับแคบจนไม่มีที่ระบาย ทำให้เท้าชุ่มเหงื่อและอับ และในคนที่มีเหงื่อออกบริเวณเท้ามาก โดยอาการตอนแรกจะมีเพียงแค่คัน มีผื่นลักษณะไม่ชัดเจน มีรอยแตกตามบริเวณกดทับที่ส้นเท้า บางครั้งอาจพบขุยสีขาวหรือผิวหนังเปื่อยได้ และมักมีกลิ่นที่รุนแรงร่วมด้วย จากนั้นจะแพร่กระจายไปยังที่ต่างๆ ได้โดยผ่านทางพื้น ผ้าเช็ดตัว หรือเสื้อผ้า

โรคน้ำกัดเท้าเกิดจากอะไร?
เชื้อราหลายประเภทรวมถึงยีสต์ทำให้เกิดโรคน้ำกัดเท้า ที่พบบ่อยที่สุดคือเดอร์มาโทไฟต์ (Dermatophytes) ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยเคราตินในการเจริญเติบโตและมักทำให้ผิวหนังเกิดโรค

โดยเชื้อก่อโรคที่พบบ่อย คือ Trichophyton rubrum และ Trichophyton interdigitale (ในอดีตมีชื่อเรียกว่า Trichophyton mentagrophytes var. interdigitale) และ Epidermophyton floccosum

เชื้อราเติบโตในผิวหนังชั้นนอก (ผิวหนังกำพร้า) และเข้าสู่ผิวหนังจากรอยแตก จุลินทรีย์ต้องการความชุ่มชื่นและความอบอุ่นในการแพร่พันธุ์ แม้ว่าโรคกลากที่เท้าสามารถเกิดขึ้นในทุกส่วนของเท้า แต่มักพบบ่อยบริเวณผิวหนังระหว่างนิ้วเท้า
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคน้ำกัดเท้า มีดังต่อไปนี้
-ใส่รองเท้าที่คับจนเกินไป หรือใส่ถุงเท้าชื้น
-ใช้ของใช้ร่วมกับผู้ที่มีการติดเชื้อรา เช่น พรม เสื่อ เสื้อผ้า รองเท้า เป็นต้น
-มีพฤติกรรมเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะซึ่งอาจมีเชื้อราอยู่ เช่น ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของนักกีฬา ห้องซาวน่า ห้องอาบน้ำรวม เป็นต้น
-มีอาการผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
-มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
-มีการไหลเวียนโลหิตที่ขาที่ไม่ดี โดยอาจเกิดจากโรคเบาหวานหรือโรคเส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน

อาการแสดงของโรคน้ำกัดเท้า?
โรคกลากที่เท้าอาจทำให้เกิดอาการแสดงหลายอย่าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเท้า รวมถึงอาการดังนี้-รอยแดงและอาการคันของผิวหนัง (ผื่น)
-รอยสะเก็ดหรือขุยที่ลอกออกของผิวหนังในบริเวณเล็กๆ (เช่น ระหว่างนิ้วเท้า) หรือทั่วทั้งฝ่าเท้า
-ผิวแตกที่เจ็บปวด (รอยแตกของผิว) ซึ่งมักจะเกิดจากการลอกของสะเก็ดผิวหนังอย่างรุนแรง
-แผลพุพองที่เต็มไปด้วยน้ำหนอง
-ฝ่าเท้าที่หนาขึ้น
เชื้อราที่เท้าสามารถแพร่กระจายไปที่เล็บ และทำให้สีของเล็บเปลี่ยนสี หนาขึ้น หรือแตกละเอียด โรคน้ำกัดเท้าสามารถทำลายผิวหนังและเปิดผิวออก จึงอาจทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบเพิ่มเติม

โรคน้ำกัดเท้าเป็นโรคติดต่อหรือไม่?
โรคน้ำกัดเท้าเป็นโรคติดต่อ มีความเป็นได้ที่คุณจะได้รับการติดเชื้อจากการจับผิวของผู้ที่มีเชื้อรา แม้ว่าพวกเขาไม่ได้มีการติดเชื้อที่กำลังดำเนินอยู่ นอกจากนี้ โรคน้ำกัดเท้าสามารถแพร่กระจายได้โดยการเดินเท้าเปล่าบนพื้นผิวที่เปียกแฉะและติดเชื้อ เช่น ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของนักกีฬาและที่อาบน้ำสาธารณะ

ไม่เพียงแค่นั้น คุณสามารถติดโรคน้ำกัดเท้าได้ถ้าคุณมีสุขอนามัยที่ไม่ดีพอ เช่นถ้าคุณปฏิบัติดังต่อไปนี้
-ไม่ล้างเท้าและไม่ทำให้เท้าแห้งหลังการออกกำลังกายหรือหลังจากเท้าเปียก (รวมถึงเหงื่อ)
-ใช้ถุงเท้า รองเท้า และผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น
-สวมใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าที่เปียก หรือสวมใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าที่ระบายอากาศได้ไม่ดี ส่งเสริมให้มีเหงื่ออกชุ่มภายในรองเท้า
-นำถุงเท้ากลับมาใช้ซ้ำโดยที่ยังไม่ได้ซัก (โดยเฉพาะที่มีเหงื่อออก)
-สวมใส่รองเท้าที่ชำรุด
-ใส่รองเท้าคู่เดิมซ้ำตลอด ไม่ได้สลับสับเปลี่ยนบ้าง