นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังประชุมร่วมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนหรือกรอ.พาณิชย์ ว่า ได้หารือกับสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกผลิตผลทางการเกษตร ข้าว และมันสำปะหลัง เพื่อที่จะเร่งรัดการส่งออกตามที่ได้มีการตั้งกรอ. พาณิชย์และวอร์รูมขึ้นมา
ซึ่งครั้งนี้เป็นการประชุมวอร์รูมข้าวกับมันสำปะหลังเพื่อผลักดันให้การส่งออกของประเทศดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และสร้างความต่อเนื่องจากตัวเลขเดือนกรกฎาคมที่เป็นบวก4.28%
"จากการประชุมเรื่องข้าวได้ข้อสรุปร่วมกันว่านอกจากมาตรการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่27 สิงหาคม 2562 โดยใช้วงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาทก็จะดำเนินการเร่งรัดการส่งออกควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมายอดการส่งออกตัวเลขลดลงซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ข้าวของไทยในตลาดโลกในสายตาประเทศผู้บริโภคแพงขึ้น และเพราะไทยสูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งบางส่วน"
อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะดำเนินการเร่งรัดเป็นพิเศษในเรื่องของตลาด คือ
ตลาดอิรัก ซึ่งเป็นตลาดเดิมของไทยในอดีต แต่ได้สูญเสียไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะมีบริษัทส่งข้าว ที่ไม่มีคุณภาพให้กับอิรักทำให้ความสัมพันธ์ในเรื่องการค้าข้าวระหว่างไทยกับอิรักเสียหายมาจนถึงวันนี้
กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิรัก และจะร่วมมือกันทั้งส่วนของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนในการฟื้นตลาดอิรักใหม่ โดยแนวทางที่จะดำเนินการ คือ จะเร่งรัดการเจรจาการค้าข้าวแบบจีทูจี (G to G) กับอิรัก
ซึ่งดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่ได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศไปดำเนินการมีความคืบหน้าเป็นลำดับอิรักได้แจ้งความประสงค์ที่จะทำการค้าข้าวแบบจีทูจีเป็นหลัก ซึ่งหลังจากนี้ไปสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกระทรวงพาณิชย์จะเร่งดำเนินการกำหนดแผนปฏิบัติเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะดำเนินการเจรจาการค้าที่อิรักด้วยตนเองทั้งภาครัฐและเอกชน
ตลาดจีน เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการทำ MOU ระหว่างไทยกับจีน ที่จีนจะรับซื้อข้าวจากประเทศไทย 1 ล้านตัน แต่ยังมีค้างท่ออยู่ 3 แสนตัน ซึ่งจะดำเนินการเจรจากับจีนต่อไปโดยจะขอให้จีนรับซื้อข้าวหอมมะลิ หรือข้าวหอมจากประเทศไทยแทนข้าวขาวมากขึ้น ในโควตาค้างท่อที่ว่านี้
ตลาดฟิลิปปินส์ ซึ่งฟิลิปปินส์ ได้ปรับจากระบบโควต้าเป็นระบบนำเข้าข้าวโดยภาคเอกชน เพราะฉะนั้นภาคเอกชนของฟิลิปปินส์ที่นำเข้าข้าวกับภาคเอกชนไทยที่ส่งออกข้าวก็ยังไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พบปะกันอย่างจริงจัง เพราะระบบนี้พึ่งเริ่มต้นกระทรวงพาณิชย์จะทำหน้าที่ช่วยเป็นตัวกลางในการจัดการพบปะระหว่างผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ผู้ส่งออกข้าวจากประเทศไทยในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งโดยเร็ว
และตลาดญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ขอให้ญี่ปุ่นขยายโควต้าในการนำเข้าข้าวจากประเทศไทยให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือ คือเรื่องมันสำปะหลัง มี 2 เรื่องได้แก่
1. สถานการณ์ของโรคใบด่างที่เป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้และจะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต ถ้ายังไม่สามารถสกัดโรคใบด่างได้ ในขณะนี้ระบาดแล้วประมาณ 9 จังหวัด ซึ่งวอร์รูมจะรีบดำเนินการและสรุปการหาแนวทางกำหนดมาตรการในการป้องกันการระบาดออกสู่ภายนอกใน 9 จังหวัดนี้ และจะช่วยดำเนินการสนับสนุนในเรื่องต้นพันธุ์ในจังหวัดอื่นๆให้สามารถปลูกมันสำปะหลังเพื่อนำไปสู่การส่งออกและนำรายได้เข้าประเทศต่อไป ภายในสัปดาห์นี้จะได้คำตอบจากการหารือร่วมกันของภาคเอกชนกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ส่วนเรื่องการเปิดตลาดวันนี้ได้ข้อสรุปว่า ตลาดที่ต้องเร่งรัดเป็นพิเศษคือ ตลาดจีน ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศไทยโดยเฉพาะจีนตอนใต้ที่จะเอาไปทำอาหารสัตว์
ตลาดอินเดีย ซึ่งถือว่ามีศักยภาพและเป็นตลาดที่ประเทศไทยสามารถดำเนินการขยายตลาดได้ในอนาคตแม้ว่าจะพึ่งเริ่มต้นก็ตามโดยเฉพาะแป้งมันที่นำไปใช้ในการทำอาหารและทำซอสปรุงรสของคนอินเดีย เป็นต้น
"ตลาดใหม่สำหรับไทยมีโอกาสที่จะเปิดตลาดและขยายตลาดได้โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารสัตว์ที่ใช้มันสำปะหลังเป็นส่วนประกอบ เช่น ตลาดตุรกีตลาดนิวซีแลนด์ แต่ว่า 2ตลาดนี้ยังเป็นตลาดที่ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของการใช้วัตถุดิบจากประเทศไทยที่จะนำไปทำอาหารสัตว์เพราะฉะนั้นกระทรวงพาณิชย์จะช่วยทำหน้าที่เป็นตัวหลักในการนัดพบผู้นำเข้าจากตุรกีและนิวซีแลนด์ให้กับผู้ส่งออกอาหารสัตว์ของประเทศไทยต่อไป"