svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

ต้นน้ำชั้น​ 1​A​ เป็นของใคร? : "เหมืองปูน" หรือ​ "ปาเกอญอ"

ลุ่มน้ำชั้น 1 ที่กำลังถูกนำมาใช้เพื่ออ้างความชอบธรรมในปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าจากชาวปาเกอญอ แต่เวลาเดียวกัน ลุ่มน้ำชั้น 1 ที่รัฐหวงแหนนักหนา กลับไร้ความหมายเมื่อมีการขอสัมปทานเหมือนปูน!

ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงจากสนามบินเชียงใหม่ ไต่สันเขาสลับถนนลูกรัง เข้ามาถึงหมู่บ้านปาเกอญอ ในเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จ.ลำปาง หมู่บ้านนี้มีประวัติการตั้งถิ่นฐานมานานกว่า 400 ปีที่ซ้อนตัวอยู่ป่าลึก

แต่ไม่ว่าจะอยู่ลึกเพียงใดก็ไม่อาจต้านทานกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงได้พ้น หลังประกาศเขตอุทยานฯ ทับซ้อนกับที่ทำกินที่อยู่อาศัยเมื่อปี 2530 ชีวิตที่เคยอยู่อย่างสงบและเรียบง่าย ก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

น้ำใสไหลเอื่อยๆ ผ่านลำธารสายเล็ก ลัดเลาะร่องเขาในหมู่บ้าน และนาขั้นบันใดมีให้เห็นตลอดทาง สภาพแวดล้อมเช่นนี้บ่งบอกให้เรารู้ว่า บริเวณนี้คือพื้นที่ต้นน้ำชั้น 1A

ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ห้ามมีการก่อสร้าง บุกรุกแพ้วถาง หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว นั่นเท่ากับว่าวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง ที่เป็นส่วนหนึ่งกับป่าตั้งแต่เกิดจนตาย กำลังจะถูกแบ่งแยกออกจากกัน...

เรื่องนี้เป็นข้อถกเถียงกันมาเนิ่นนาน มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พยายามศึกษาว่ากะเหรี่ยงอยู่ร่วมกับป่าอย่างผู้รักษาหรือทำลาย? ประเด็นหนึ่งที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กลายเป็นผู้ร้ายคือการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งรัฐเข้าใจผิดมาตลอดว่าเป็นการทำไร่เลื่อนลอย ที่ถางป่ากินบริเวณกว้างออกไปเรื่อยๆ

สิ่งหนึ่งที่ชาวปาเกอญอพยายามพิสูจน์ว่าเป็นผู้รักษาป่า นอกจากจะอธิบายถึงวัฒนธรรมการทำไร่หมุนเวียนเพื่อการฟื้นฟูดิน และแท้จริงคือการรักษาระบบนิเวศแล้ว... ย้อนไปในราวปี 2442-2508 ก่อนประกาศเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เดิมคือพิ้นที่สัมปทานตัดไม้ของทุนต่างชาติ เมื่อหมดสัมปทาน ป่าทึบกลายเป็นภูเขาหัวโล้น

แต่ก็เพราะชาวบ้านกลุ่มนี้ ผู้อยู่มาตั้งแต่เกิด เป็นผู้ฟื้นฟูป่าให้กลับมาเขียวขจีอีกครั้ง ...น่าเศร้าที่วันนี้ต้องตกเป็นจำเลยว่าเป็น 'ผู้ทำลายป่า' เสียเอง

และยิ่งน่าเศร้าไปอีกเมื่อคำว่า 'ลุ่มน้ำชั้น 1' ที่กำลังถูกนำมาใช้เพื่ออ้างความชอบธรรมในปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าจากชาวปาเกอญอ แต่เวลาเดียวกัน 'ลุ่มน้ำชั้น 1' ที่รัฐหวงแหนนักหนา กลับไร้ความหมายเมื่อมีการขอสัมปทานเหมือนปูน!

ขณะที่ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่า ดำเนินการอย่างเข้มข้นชาวบ้านอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งมีพื้นที่ป่ามากกว่าพื้นที่ไหนๆ ทำไมไม่ไปทวงคืนในพื้นที่ที่มีป่าน้อยกว่า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งยิ่งมากขึ้นเมื่อรัฐตั้งเป้ามีป่า 40% ของพื้นที่ทั้งหมดในประเทศไทย แล้วจะทวงคืนมาจากที่ไหน? ถ้าไม่ใช่ที่ของคนในป่า

กลุ่มเกษตรกรภาคเหนือจึงเสนอให้ลองนับป่าชุมชนที่ชาวบ้านปลูกและจัดการกันเองไป ไทยก็น่าจะมีป่าจะ 40% แต่รัฐก็นับรวมเพียงแค่ป่าของกรมอุทยานฯ กับกรมป่าไม้ ก็ยิ่งแข่งกันประกาศเขตป่าทับที่ชาวบ้านไปอีก

ล่าสุดพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ที่โปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว เมื่อครบ 180 วันในเดือนพฤศจิกายนนี้ ก็จะเริ่มสำรวจและรังวัดแนวเขตที่ทำกินของราษฎรในเขตป่า ในห้วงเวลา 240 วันหรือจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม ปี 2563 การรังวัดอิงจาก มติครม 30 มิถุนายน 2541 ที่มีภาพถ่ายทางอากาศเมื่องปี 2545 และพื้นที่ผ่อนปรนตามคำสั่งคสช. ปี 2557 เท่านั้น

ชุมชนบ้านแม่หมี ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ก็กำลังจะเข้าสู่การรังวัดตามพรบ.อุทยานฯ ฉบับใหม่ เช่นกัน ชาวบ้านจึงหวั่นเกรงว่าจะเสียที่ทำกิน รวมถึงวัฒนธรรมการทำไร่หมุนเวียน

ถ้าคิดแบบกำปั้นทุบดิน! เหมืองปูนได้สัมปทานทำบนลุ่มน้ำชั้น 1 ได้ คนที่อยู่มาก่อนประกาศเขตอุทยานและเป็นส่วนหนึ่งของป่ามายาวนานนั้นมีความชอบธรรมที่จะอยู่อาศัยบนลุ่มน้ำชั้น 1 มากกว่าการทำเหมือง ด้วยซ้ำไป...

#วชิรวิทย์ #วชิรวิทย์รายวัน #Vajiravit #VajiravitDaily #Nation #NationTV