
จังหวัดน่านแม้จะได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรอง แต่มนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรมที่เฉพาะตัวก็ทำให้ 'น่าน' มีจุดเด่นและเป็นเป้าหมายของใครหลายคน
เวลานึกถึง 'น่าน' คนทั่วไปอาจนึกถึงวัดภูมินทร์ ขนมหวานป้านิ่ม ร้านกาแฟ บ่อเกลือ รีสอร์ทกลางขุนเขา หรืออะไรอื่นๆอีกมากมาย แต่เมืองเล็กๆ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เคียงคู่มาพร้อมๆ กับอาณาจักรสุโขทัย และอาณาจักรล้านนาเชียงใหม่ มีสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวบ่งชี้เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่ายิ่ง แต่อาจไม่ได้ถูกพูดถึง ไม่ได้เป็นที่รู้จัก และไม่เป็นเป้าหมายทั่วไปของนักท่องเที่ยว นั่นก็คือ 'กำแพงเมือง'
กำแพงเมืองน่านก็เป็นเหมือนกำแพงอื่นๆของหัวเมืองสำคัญในอดีต ที่ได้สร้างกำแพงเมืองล้อมรอบเป็นส่วนสำคัญของเมืองที่เจริญรุ่งเรืองในยุคเก่าก่อน มันทำหน้าที่ทั้งบ่งชี้อาณาเขต และป้องกันข้าศึก
กำแพงเมืองเคยมีประโยชน์อยู่ช่วงสมัยหนึ่ง พอความเจริญเติบโตคืบคลานเข้ามา บ้านเมืองในยุคใหม่ ก็เข้ามาก็จัดการเอากำแพงออกเสีย เหมือนยุคโทรศัทพ์บ้านกับมือถือ เมื่อเสื่อมความนิยมก็ละทิ้งของเก่าไป
ในบรรดากำแพงเมืองเก่าที่ยังหลงเหลือให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น กรุงศรีอยุธยา กรุงสุโขทัย เชียงใหม่ หรือ กำแพงเพชร เป็นต้น กำแพงเมืองน่าน ยังคงความสมบูรณ์ไม่แพ้กำแพงเมืองที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครยกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดน่าน
ผมให้ความสำคัญกับกำแพงเมืองก็เพราะว่า เป็นหลักฐานทางประวัติศาศตร์ อีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันถึงความรุ่งเรืองในอดีต เช่นเมืองโบราณศรีเทพ ยุคทวารวดี ที่นอกจากจะมีพระปรางค์ ปราสาทแล้ว คูเมืองแบะกำแพงเมืองที่ยังเห็นเด่นชัดทำให้นักโบราณคดี ปะติดปะต่อเรื่องราวในอดีต ให้ภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
เป็นรูปแบบการสร้างเมืองที่มีกำแพงใหญ่ล้อม มีคูเมือง เป็นแบบฟอร์มของเมืองยุคเก่า ที่ถูกส่งต่อกันมาโดยมีลักษณะคล้ายๆกัน กำแพงเมืองน่านก็เช่นเดียวกัน
ย้อนไปในสมัยเจ้างัวผาสุม เมื่อ พ.ศ.1979 กำแพงเมืองน่านถูกสร้างขึ้นครั้งแรก ต่อมา พ.ศ.2060 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ แม่น้ำน่านเปลี่ยนเส้นทาง เจ้าสุมนเทวราชจึงโปรดให้ย้ายเมืองไปตั้งที่บริเวณดงพระเนตรช้าง (บ้านพระเนตรในปัจจุบัน) ต่อมาเจ้าอนันตวรฤทธิเดช จึงโปรดให้ย้ายเมืองกลับมาตำแหน่งเดิม และสร้างกำแพงขึ้นใหม่ตามแนวเดิม ตัวเมืองที่สร้างในครั้งนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวกำแพงก่ออิฐถือปูน ซุ้มประตูเป็นทรงเรือนยอด ตัวประตูเป็นไม้ มีการเปิด-ปิดตลอดเวลา โดยมีนายประตูเป็นผู้รักษาอาชญา และมีบทลงโทษสำหรับผู้ปีนป่ายกำแพงหรือรื้อกำแพงเมือง
เมื่อครั้งเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เป็นเจ้านครน่าน กำแพงเมืองที่สร้างขึ้นมี ประตูทั้ง 4 ทิศ
ทิศตะวันออก มีประตูชัยซึ่งเป็นประตูที่เจ้าผู้ครองนครและเจ้านายฝ่ายในใช้ในการเสด็จล่องชลมารคสู่พระนครรัตนโกสินทร์ และประตูน้ำเข้มซึ่งคงเป็นประตูท่าน้ำ สำหรับการใช้ติดต่อค้าขายและเข้าออกสู่แม่น้ำน่านของประชาชนทั่วไป
ต่อมาในสมัยเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้านครน่านองค์สุดท้ายได้โปรดให้รื้อแนวกำแพงด้านตะวันออก เพื่อนำอิฐบางส่วนไปสร้างเป็นสะพานกรุงศรีทอดข้ามแม่น้ำน่านเก่า (คลองหลวง)ในปี พ.ศ. 2473 และได้มีการตัดถนนสุมนเทวราชขึ้นไปตามแนวของกำแพงเมืองด้านตะวันออกนี้ในสมัยต่อมา
ทิศเหนือ ประกอบด้วยประตูริมหรือประตูอุญญาณ ในแต่เดิมนั้นคงมีเพียงประตูเดียวต่อมาใน พ.ศ.2450 ได้มีการเจาะช่องประตูเพิ่มขึ้นอีก 1 ช่อง คือประตูอมร อยู่ใกล้ตำแหน่งสี่แยกอมรศรี เพื่อให้พระยาอมรฤทธิดำรงข้าหลวงประจำเมืองในสมัยนั้นเดินเข้า-ออกทิศตะวันตก มีประตูปล่องน้ำ ซึ่งเป็นประตูที่ใช้ในการระบายน้ำจากบริเวณภายในตัวเมืองด้านเหนือซึ่งเป็นที่ลุ่มน้ำ ออกสู่คูเมืองด้านนอก ประตูดังกล่าวนี้ตั้งอยู่ในบริเวณถนนมหาวงศ์ตรงจุดที่ปรากฏซากกำแพงซึ่งเหลืออยู่ในปัจจุบันเพียง 50 เมตร เท่านั้น
ทิศใต้ มีประตูเชียงใหม่และประตูท่าลี่สำหรับให้ราษฎรที่อยู่ในเมืองและนอกเมืองไปมาหาสู่กันได้
ปัจจุบันกำแพงเมืองน่านที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มีความยาวเพียง 25 เมตร และสูง 5 เมตร เท่านั้นเป็นแนวกำแพงด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือ บริเวณถนนมหาวงศ์เชื่อมต่อกับถนนอนันตวรฤทธิเดชกรมศิลปากรได้บูรณะปฏิสังขรณ์แนวกำแพงดังกล่าวและส่วนที่ชำรุดทรุดโทรมได้ทั้งสิ้น 415 เมตร เมื่อพ.ศ.2536 และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 61 ตอนที่64 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537
'กำแพงเมืองน่าน' นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บอกถึงความมั่นคงของรัฐเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในลุ่มแม่น้ำน่านที่สามารถปกครองตนเองได้ แม้ต้องยอมอ่อนน้อมต่อหัวเมืองอื่นหลายครั้ง แต่เมืองน่านก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้ได้เป็นอย่างดีลักษณะทางสถาปัตยกรรม
น่าเสียดาย ที่ 'สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์' เช่นนี้ ไม่ใช้เป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวที่มาเยือน 'เมืองน่าน'
อย่างน้อยการมาที่นี่ก็ทำให้ผมเรียนรู้สัจจธรรมความจริงที่ว่า ไม่ใครหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงได้ อดีตที่เคยรุ่งเรือง แต่เมื่อยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ก็เปลี่ยนหน้าที่ของกำแพงเมืองที่เคยใช้ป้องกันข้าศึก กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ท่ามกลางเวลาที่เดินหน้าทุกวินาที 'ชีวิตคน' ก็เช่นกันวันนี้มีบทบาทอย่างหนึ่ง วันหน้าก็จะต้องเปลี่ยนบทบาทไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง คำถามสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ยังคงมีคุณค่า เหมือนเช่นกำแพงเมืองเก่า แห่งนี้..
#วชิรวิทย์ #วชิรวิทย์รายวัน #Vajiravit #VajiravitDaily #Nation #NationTV