ล่าสุดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีนปะทุขึ้นอีกครั้ง มีการตอบโต้ทางภาษีกันไปมาและลุกลามไปถึงสงครามเย็นทางด้านเทคโนโลยี (Tech Cold War)โดยความขัดแย้งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับจีนแต่ยังลามไปถึงประเทศคู่ค้าอันดับสองอย่างเม็กซิโกด้วยโดยสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 5% จากเม็กซิโกอย่างคาดไม่ถึงและขู่เพิ่มเป็น 25% ในเดือนตุลาคมหากรัฐบาลเม็กซิโกไม่สามารถจัดการผู้อพยพที่ผิดกฎหมายจากเม็กซิโกได้ นอกจากนี้ ยังมีสงครามการค้ากับยุโรปและญี่ปุ่นโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เพิ่งถูกเลื่อนการขึ้นภาษีออกไปที่ต้องจับตาดูต่อ
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนทั่วโลกรวมถึงของเศรษฐกิจสหรัฐฯเองด้วยโดยสะท้อนจากบอนด์ยีลด์สหรัฐที่อัตราผลตอบแทนระยะยาวลดลงจนต่ำกว่าระยะสั้นหรือที่เรียกว่า เส้นอัตราผลตอบแทนกลับด้าน (Inverted yieldcurve)ที่ในอดีตเป็นตัวบ่งชี้ที่ค่อนข้างแม่นยำของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 1-2 ปีข้างหน้า จากข้อมูลตั้งแต่ปี 1976 เหตุการณ์เส้นอัตราผลตอบแทนกลับด้านคืออัตราผลตอบแทนระยะ 10 ปี ต่ำกว่าระยะ 3 เดือน สามารถทายภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ถูกต้องกว่า 83% หรือทายถูก 5 ครั้งจาก 6 ครั้งโดยผลต่างอัตราผลตอบแทนระยะ 10 ปี กับ 3 เดือน ติดลบเป็นเวลา 207 วัน เฉลี่ยประมาณ 68basis point โดยล่าสุดแม้ทรัมป์ยังไม่ได้ประกาศทำสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบกับอีกหลายๆคู่ค้าแต่เส้นอัตราผลตอบแทนกลับติดลบแล้วถึง 14 วัน และติดลบต่ำสุดถึง28 basis point ซึ่งหากสงครามการค้ารุนแรงกว่านี้ก็จะทำให้ผลต่างอัตราผลตอบแทนติดลบหนักขึ้น สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนที่แย่ลง
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% ของเฟดต่อเนื่องตั้งแต่ตุลาคมปี 2018 ซึ่งล่าสุดอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานPCE ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของ Fed ในเดือนเมษายนอยู่ที่เพียง1.6% ลดลงจากเฉลี่ยปี 2018 ที่ 1.9% ซึ่ง Fed อธิบายว่ามาจากปัจจัยชั่วคราว สวนทางกับตลาดที่มองว่าเงินเฟ้อจะไม่กลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาอันใกล้นี้
ดังนั้น TMB Analytics มองว่า Fed อาจมีความจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย1 ครั้งในปี 2019 นี้ สอดคล้องกับถ้อยแถลงของนายเจมส์บูลลาร์ด ประธาน Fed สาขาเซนต์หลุยส์หนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐชุดปัจจุบัน ที่บอกว่ามีความเป็นไปได้ที่ Fedจะลดอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้านี้ ซึ่งหากเฟดลดดอกเบี้ยจริงอาจทำให้มีฟันด์โฟลว์จากต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่รวมทั้งตลาดเงินตลาดทุนในประเทศไทยมากขึ้นแต่จะมีความผันผวนสูงขึ้นนักลงทุนจึงควรติดตามท่าทีของ Fed อย่างใกล้ชิดและมีความเตรียมพร้อมอยู่เสมอ