
"ขณะนี้ยอมรับว่า มี 2 ขั้วการเมือง ที่มีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล โดยขั้วแรกได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เมื่อรวมเสียงกันแล้วก็ได้เสียงสนับสนุนแบบปริ่มน้ำ คือทุกพรรคที่เข้ามาร่วมจะต้องคุมไม่ให้ ส.ส. ลุกหนีไปไหนระหว่างประชุมสภา ส่วนอีกขั้วหนึ่งถึงแม้พยายามจะอ้างถึงเสียงประชาชนที่เลือกพวกเขามามาก แต่จำนวน ส.ส. ก็ไม่เท่ากับขั้วการเมืองแรก เพราะบางพรรคก็มีทีท่าที่จะสงวนท่าทีก่อนการตัดสินใจ ดังนั้น หากพรรคไทยศรีวิไลย์จะเข้าร่วมกับขั้วไหน ก็ต้องสอบถามความคิดเห็นของสมาชิกพรรคเสียก่อน เพราะถึงแม้ว่าจะมีเสียงเดียว ซึ่งสามารถจะตัดสินใจด้วยตัวเองได้ แต่ผมต้องการส่งเสริมให้พรรคมีกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้น เมื่อถึงเวลาเหมาะสม ก็จะให้คำตอบว่าพรรคไทยศรีวิไลย์จะไปอยู่ขั้วไหน โดยคำนึงถึงการตัดสินใจของสมาชิกและประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ" นายมงคลกิตติ์ กล่าว
นายมงคลกิตติ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ หากขั้วการเมืองใด ยอมรับเงื่อนไขให้พรรคไทยศรีวิไลย์สามารถตรวจสอบการทุจริตทั้งโครงการในอดีต เช่น โครงการสินบนโรล์สรอยซ์ โครงการทุจริตรับจำนำข้าว และโครงการใหม่ที่รัฐบาลมีขึ้นในอนาคต เพื่อให้โครงการต่างๆ ของทางรัฐบาลมีความโปร่งใส เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และหากเปิดโอกาสให้พรรคไทยศรีวิไลย์ นำนโยบาย 10 ข้อที่หาเสียงกับประชาชน มานำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อนำไปพิจารณาและสามารถผลักดันนโยบายเป็นรูปธรรมแล้ว ก็สามารถร่วมรัฐบาลได้ แต่หากได้ทำงานเป็นฝ่ายค้าน ก็จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพราะพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ชูแนวคิดที่สำคัญในช่วงการหาเสียงว่า เรามาเพื่อปราบโกง ดังนั้น ตนจะทำงานในสภาอย่างเต็มที่ เปรียบเสมือนเป็นยามเฝ้าแผ่นดินเพื่อป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ และจะสร้างบทบาทในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประชาชนสามารถจดจำการทำงานของตนและพรรคไทยศรีวิไลย์ โดยหวังว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนจะสนับสนุนพรรคไทยศรีวิไลย์ จนมี ส.ส. ในสภาเพิ่มมากขึ้น.