
รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วย รศ.เอนก ศิริพานิชกร ประธานสาขาวิศวกรรมโยธาและประธานคณะกรรมการจัดการภัยพิบัติ และนายหฤษฏ์ ศรีนุกูล อนุกรรมการวิศวกรรมยกหิ้วและปั้นจั่นไทย ได้เดินทางเข้าตรวจสอบในจุดเกิดเหตุเครนหักโคล่น และถล่มลงมาจนมีผู้เสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้ใช้เวลาเข้าตรวจสอบประมาณ 1 ชั่วโมง
รศ.สิริวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาสาเหตุที่แน่ชัดว่า เกิดจากสาเหตุใด แต่ปัจจุบันที่เห็นตัวเครนที่เหลืออยู่ ซึ่งถูกปูนกระแทกหักไปแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือตัวถ่วงยังติดอยู่กับทาวเวอร์เครน ซึ่งส่วนนี้ได้ประสานทางโครงการต้องพยายามหาทางเอาลงให้ได้อย่างเร็วที่สุด เนื่องจากเราไม่ทราบสภาพดินฟ้า อากาศ อาจมีลม มีฝน ซึ่งอาจหลุดลงมาจะส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนที่พักอาศัยอยู่พื้นที่ข้างเคียงพบว่า มีการติดตั้งเครนจำนวน 2 ตัว ซึ่งเครนที่เกิดเหตุนั้น พบว่าเป็นการพังถล่มลงมาของทาวเวอร์เครน ชนิดที่เรียกว่าเครนคอห่าน หรือ Gooseneck เป็นเครนที่ถือว่ามีความแข็งแรงมากกว่าเครนปกติ อย่างไรก็ตาม จากสถิติอุบัติเหตุที่เกิดกับเครนทั้งหมด มักเกิดขึ้นในช่วงของขั้นตอนการติดตั้ง ถึงร้อยละ 95 แต่กลับไม่มีกฎหมายควบคุมบังคับให้มีวิศวกรคอยควบคุมขณะกำลังติดตั้ง ซึ่งต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
ด้านนายหฤษฎ์ ระบุว่า เครน Gooseneck ซึ่งตัวปั้นจั่นสามารถกระดกขึ้นลงได้ และอยู่ในแนวราบได้ โดยช่วงของอุบัติเหตุเกิดจากขณะที่ช่างกำลังใส่ขั้นตอนสุดท้าย และกำลังจะใส่ฝาบนของตัวเครนซึ่งจะเสร็จงานอยู่แล้ว โดยเบื้องต้นสันนิษฐานได้ว่า ปิดฝาครอบด้วยความรุนแรงที่เครนจะรับได้จนเกิดการกระชากเป็นเหตุให้เครนหงายหลัง ทั้งนี้พฤติกรรมของเครนตัวนี้จะตั้งอยู่ในแนวแทบจะ 90 องศา คือพร้อมที่จะหงายหลัง หากช่างไม่มีความชำนาญก็พร้อมจะเกิดอุบัติเหตุได้สูงมาก นอกจากนี้เครนในลักษณะชนิดนี้มีงานใช้งานในบ้านเราเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต้องมีผู้ชำนาญการโดยตรงมาคอยติดตั้ง และจะแตกต่างจากเครนตัวอื่น