
ด้าน รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ทีมงานในการปรับพื้นที่โดยรอบเมรุลอยให้เป็นสีขาว รวมทั้งการเลือกดอกไม้สดมาประดับตกแต่ง บริเวณที่เป็นป่าหิมพาน ซึ่งส่วนสำคัญที่สุด คือนกสักกะไดลิง หรือนกหัสดีลิงค์เทินบุษบก หรือภาษาอีสานเรียกว่าเทินหอแก้ว ขณะนี้เสร็จสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ เหลือส่วนที่เป็นองค์ประกอบของป่าหิมพาน ทั้งสัตว์ป่า และสระอโนดาด ที่สามารถเก็บน้ำได้จริง โดยจะมีการประดับตกแต่งไฟแสงสี เพื่อให้เกิดความสวยงาม ซึ่งภาพรวมขององค์ประกอบเหล่านี้ อยู่ที่ 90-95 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าทุกอย่างจะแล้วเสร็จ ในวันที่ 19 มกราคมนี้ และเปิดให้ประชาชนเข้าชมในวันที่ 22-28 มกราคมนี้
สำหรับการออกแบบนั้น ข้อมูลจาก ดร.ยุทธพงษ์ มากวิเศษ หนึ่งในผู้ออกแบบเมรุลอยนกหัสดีลิงค์ ระบุว่าโครงสร้างตัวนกที่เป็นไม้เนื้อแข็ง มีความสูง 22.6 เมตร มีการนำไม้ไผ่มาทำโครงด้านนอก และใช้กระดาษสีขาวมาพับคล้ายการทำเปเปอร์มาเช่ หรือประติมากรรมกระดาษ ซึ่งทั้งหมดจะถูกเผาพร้อมกับร่างหลวงพ่อในวันที่ทำพิธีฌาปนกิจ ประดิษฐานบนฐานแปดเหลี่ยม กว้าง 16 เมตร ประกอบด้วยนาคที่มีความยาว 5 เมตร 12 ตน และรายล้อมด้วยสัตว์หิมพานต์ 32 ตน
นอกจากขนาดที่ใหญ่และความงดงามของเมรุลอย นกหัสดีลิงค์ที่ประกอบเมรุลอยนี้ ยังถูกสร้างให้มีกลไกในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ได้ ทั้งการหันศีรษะ ม้วนงวง กระพริบตา กระดิกหู และมีเสียงร้อง เพื่อประกอบพิธีการในวันพิธีพระราชทานเพลิงสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ