
ตามด้วยประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม "อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์" ที่ขนผู้เชี่ยวชาญไปที่คลินิกต้นเรื่องฉาว เพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้เช่นกัน โดยท่าทีของ "อัจฉริยะ" ดูจะไม่ค่อยเชื่อข้อมูลของผู้เสียหายและทนายนิด้า โดยเฉพาะที่อ้างว่ามีหญิงสาวตกเป็นผู้เสียหายจากหมอรายนี้อีกหลายสิบรายนี่คือความสับสนอลหม่านของคดีข่มขืน โดยเฉพาะคดีที่ผู้เสียหายไม่ใช้เด็กหรือผู้เยาว์ พูดง่ายๆ คือหญิงที่อ้างว่าถูกข่มขืนเป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ซึ่งกฎหมายไม่ได้คุ้มครองการถูกละเมิดทางเพศทุกกรณีปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคดีนี้เท่านั้น แต่คดีอื่นๆ ในอดีตก็เคยมีการโต้แย้งลักษณะเดียวกันมาแล้ว หลายคดี...ฝ่ายหญิงเสียอีกที่ตกเป็นผู้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จและหมิ่่นประมาท เพราะศาลเชื่อว่าไม่มีการข่มขืนเกิดขึ้น แม้จะมีการร่วมประเวณีกันจริงก็ตาม อย่างเช่นคดีอดีตลูกจ้างสาวสำนักงานผังเมืองและโยธาธิการจังหวัดตราด อ้างว่าถูกอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยข่มขืน จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศเมื่อ 15 ปีก่อน แต่สุดท้ายศาลยกฟ้อง หนำซ้ำศาลฎีกายังพิพากษาจำคุกฝ่ายหญิง 3 ปี ฐานแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาทอีกต่างหากปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในทุกๆ ประเทศทั่วโลก โดยข้อมูลจากนักอาชญาวิทยาชื่อดัง ร้อยตำรวจเอก ดอกเตอร์ จอมเดช ตรีเมฆ ระบุว่า คดีข่มขืนเป็นอาชญากรรมที่มีลักษณะเฉพาะ คือไม่ค่อยมีพยานและหลักฐานเพียงพอในการร้องทุกข์ เนื่องจากคดีข่มขืนส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลเพียงแค่สองคน คือ อาชญากรกับเหยื่อเท่านั้น และผู้ที่กระทำการข่มขืน มักจะมีความคุ้นเคยกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ จึงเป็นเหตุผลที่อาชญากรรมประเภทนี้กลายเป็นปัญหาในกระบวนการยุติธรรมในทางอาชญาวิทยา มีการวิเคราะห์การเกิดขึ้นของคดีข่มขืนแบบแยกเป็นรายคดี พบว่าการวิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประสบปัญหาเรื่องพยานหลักฐาน หากไม่มีการบันทึกเสียงหรือภาพโดยประจักษ์ชัดแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ถูกกล่าวหาจะพ้นผิดอีกปัญหาหนึ่งของคดีข่มขืนที่พบในต่างประเทศ และบ้านเราก็พบปัญหาไม่แตกต่างกันก็คือ คดีข่มขืนเป็นอาชญากรรมที่ไม่มีการรายงานเหตุสูงที่สุด สาเหตุก็เพราะผู้เสียหายไม่ได้เข้าแจ้งความ เนื่องจากอับอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จึงไม่ต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ และยังมีความหวาดกลัวในการถูกถามซ้ำในขั้นตอนของการสอบสวนและขั้นตอนพิจารณาคดีในชั้นศาล ที่สำคัญคดียังมีโอกาสยกฟ้องสูง เพราะไม่มีพยานและหลักฐานมากพอ การแสวงหาพยานหลักฐานก็ยากเย็นทั้งหมดนี้ส่งผลให้สถิติการรายงานเหตุข่มขืนและอาชญากรรมทางเพศทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับการเกิดขึ้นจริงของอาชญากรรมรูปแบบนี้ สำหรับในประเทศไทย การข่มขืนส่วนใหญ่ถูกกระทำจากบุคคลใกล้ชิด มีเพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ถูกกระทำโดยคนแปลกหน้า และกว่า 1 ใน 3 ของคดีที่ส่งฟ้องทั้งหมด กลับต้องยกฟ้องด้วยเหตุผลของการขาดพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิด
ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังมีข้อบกพร่องในด้านการเก็บสถิติอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะจะทำการบันทึกสถิติเฉพาะคดีข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น โดยไม่มีการเก็บบันทึกการกระทำอนาจารหรือการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศรูปแบบอื่น ส่งผลให้สถิติความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเพศในประเทศไทยไม่ครบถ้วน ไม่สามารถนำไปสู่การวิเคราะห์ทางสถิติถึงภาพรวมของการเกิดอาชญากรรมประเภทนี้ได้อย่างชัดเจนนี่คือความจริงอันโหดร้ายที่อยู่เบื้องหลังคดีข่มขืนมากมายที่เกิดขึ้นแทบจะรายวัน และผู้หญิงดูจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ ถ้าโดนข่มขืนจริงแล้วกล้าลุกขึ้นมาฟ้องร้อง ก็ต้องทนตากหน้าถูกข่มขืนซ้ำในกระบวนการยุติธรรมและสื่อ แต่ถ้าคดีไหนยกฟ้อง ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี เป็นพวกกุเรื่อง หวังแบล็กเมล์ฝ่ายชาย ทั้งๆ ที่พวกเธอเหล่านั้นอาจจะถูกล่วงละเมิดทางเพศจริง หรืออยู่ในภาวะเหมือนถูกปิดปากด้วยอำนาจที่เหนือกว่า จนไร้พยานหลักฐานที่จะเอาผิด