
คุณหมอ ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยาสุขภาพจิตเด็ก และโฆษกกรมสุขภาพจิต บอกกับ "เนชั่นทีวี" ว่า วิธีการรักษาโรคซึมเศร้าที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือการใช้ยาร่วมกับวิธีการที่เรียกว่า "จิตสังคม"
เริ่มที่การใช้ยาก่อน ปกติแล้วต่อหนึ่งเคส การรักษาโดยการใช้ยาจะใช้ระยะเวลาถึง 1 ปี แต่ถ้าผู้ป่วยอาการหนัก อาจต้องรักษาประมาณ 2 ปี สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องของยา เพราะตามมาตรฐานยาที่เรียกง่ายๆ ว่า "ยาต้านเศร้า" เมื่อทานยาเข้าไปครั้งแรก กว่ายาจะออกฤทธิ์ต้องใช้เวลา 1-4 สัปดาห์ และยาจะเห็นผลเต็มที่ใน 4-6 สัปดาห์ จะเห็นว่ายาไม่ได้เห็นผลทันที เมื่อเป็นแบบนี้ ผู้ป่วยบางคนทานยาเข้าไปช่วงแรกๆ ก็อาจคิดไปเองว่ายาไม่เวิร์ค บางคนก็หยุดยาไป บางรายทานไปสักพัก คิดไปเองว่าหายป่วยแล้ว ก็หยุดยาเหมือนกัน แต่อย่างที่บอกว่ากว่ายาจะออกฤทธิ์นั้นใช้เวลา ก็ทำให้ผู้ป่วยคิดว่าหยุดยาไปแล้วก็ไม่ได้กลับไปซึมเศร้าทันที นั่นเป็นเพราะว่ายายังคงออกฤทธ์ค้างอยู่ ตรงนี้อันตรายมาก / เพราะการรักษาให้หายต้องค่อยๆ หยุดยา และให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยเท่านั้น
การรักษาโรคซึมเศร้า นอกจากใช้ยาแล้ว ยังต้องมีกระบวนการ "จิตสังคม" ซึ่งก็คือการบำบัดพูดคุยเพื่อเยียวยาผู้ป่วย โดยที่ครอบครัวและคนใกล้ชิดมีส่วนช่วย คอยดูคอยสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น ดูง่ายๆ 4 อย่าง คือ
1. อารมณ์ ซึมลงไหม หงุดหงิดมากขึ้นไหม 2. ความคิด มีหรือไม่ที่ผู้ป่วยพูดว่าอยากตาย บางคนก็อยู่ดีๆ ความจำไม่ดี เบลอๆ สมาธิไม่ดี 3. พฤติกรรม มีการทำร้ายตัวเองหรือเปล่า มีการเริ่มสะสมอาวุธ หรือเขียนข้อความ เขียนโน้ตอะไรแปลกๆ หรือไม่ และ 4. ร่างกาย ก็คือ การกิน การนอน เช่น กินน้อยนอนน้อยผิดปกติ หรือกินมากนอนมากผิดปกติ ทั้งหมดนี้คือสัญญาณที่จะบอกว่าผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
คุณหมอดุษฎี บอกด้วยว่า คนใกล้ชิดมีส่วนสำคัญอย่างมากในการรักษาโรคซึมเศร้าและป้องกันการฆ่าตัวตาย เมื่อรับรู้ว่ามีคนป่วย คนในครอบครัวต้องรู้ทันทีว่าคนใกล้ชิดคนไหนที่ควรดูแลคนป่วย และคนนั้นต้องเฝ้าระวัง เพราะความสูญเสียมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับยาตามแพทย์สั่ง แปลว่าถ้าเรามีคนป่วยอยู่ใกล้ตัว ก็ต้องจับตากันตลอด สิ่งที่เราทำได้คือ พยายามพาไปหาหมอ ไปประเมินความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย และถ้าพาไปไม่ได้ ก็สามารถโทร 1669 เบอร์เดียวกับรถพยาบาลฉุกเฉิน ให้รถมารับไปได้