
นางสาวประหยัด เล่าว่า แรกเริ่มเดิมทีช่วงปี พ.ศ.2534 น้องชายได้ฝันเห็นงูลอยอยู่บนต้นมะขามหลังบ้าน พอช่วงเช้าก็ชวนกันขึ้นเขา ภูคา เพื่อไปหาหน่อไม้กันระหว่างที่กำลังหาหน่อไม้นั้น เจอกับเจ้างูตัวหนึ่งยาวประมาณ ๑ ฟุต ขนาดประมาณ ๑ นิ้ว นอนขดอยู่ในซอกหิน เป็นลูกงูสีทองเหลืองอร่าม เพศผู้ จับขึ้นมางูก็ไม่ดิ้น จึงนำมาเลี้ยงไว้ที่บ้านตั้งชื่อว่า "สีนาก"
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2536 ตนและน้องชายได้เดินขึ้นไปบนยอดเขาภูคาอีกครั้ง เพื่อหาหน่อไม้เหมือนเดิม ตกใจประหลาดใจเพราะว่าไปเจอกับเจ้างูหลามสีทอง ขนาดประมาณ ๑ นิ้ว ยาวประมาณ ๑ ฟุต นอนขดในซอกหินจึงจับขึ้นมางูเชื่องไม่ดิ้นอะไรเลย จึงเก็บมาเลี้ยงไว้มีชื่อว่า สีทอง เพศเมีย เลี้ยงทั้งสองตัวไว้จนเติบใหญ่ก็เลี้ยงไว้ในบ้านแบบลูกเลย เพราะว่างูทั้งคู่ไม่ดุร้าย
กระทั่งงูทั้งสองตัวสามารถผสมพันธ์กันได้ จึงผสมพันธ์กันมีลูกหลายตัว และครอบครัวก็มีโชคลาภหากินคล่องหลังเลี้ยงูไว้ ประชาชนที่ทราบข่าวว่าที่บ่านเลี้ยงงูหลามสีทอง จึงเดินทางมาดูมาขอเล่น ถ่ายรูปไป ปรากฏว่าคนพูดปากต่อปากว่า ใครที่มาเล่น จับ งูหลามสีทองที่บ้านกลับไปโชคดี จึงมีคนเดินทางมาขอดูไม่ขาดสายจนระทั่งทุกวันนี้ ทั้งคนในพื้นที่ คน กทม. โด่งดังไปทั่วไม่มีการเก็บเงินใด
จนกระทั่ง พ.ศ. 2557 พ่อ-แม่ งูหลามสีทอง เจ้าสีนาก และสีทอง ป่วยและอายุมากตายไป เวลานี้เหลือเจ้านำโชค ซึ่งเป็นลูกและน้องๆอีก 8 ตัว เลี้ยงไว้ในบ้านและยังมีคนสนใจเดินทางมาดูจำนวนมากทุกวัน สาเหตุที่ชอบเลี้ยง งูหลามเพราะว่านิสัยไม่ดุร้าย และชอบเลี้ยงงู เพราะว่ารับโชคลาภ การงาน การเงินดี เรียกว่าตัว. งู มงคล คู่บุญ ส่วนวิธีการเลี้ยงนั้นตนจะนำงูมาเลี้ยงไว้บนบ้าน กินนอนด้วยกัน ให้อาหารเดือนละ ๒ ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นไก่ไม่มีขน สะอาด ครั้งละ ๒ กิโลกรัม อาบน้ำให้ทุกวัน