
พล.ร.ต.อาภากร เดินทางไปประจำการอยู่หน้าถ้ำหลวงตั้งแต่วันแรกๆ หลังเกิดเหตุเยาวชนทีมฟุตบอลหมูป่าติดอยู่ด้านใน และน่าจะกลับออกมาเป็นคนท้ายๆ เพราะอยู่บัญชาการด้วยตนเองเกือบตลอดปฏิบัติการ แต่ด้วยความที่เป็นคนพูดน้อย เน้นทำมากกว่าพูด ทำให้ไม่ค่อยมีข้อมูล หรือแม้แต่ความรู้สึกใดๆ หลุดจาก ผบ.ซีล มากนัก
แต่วันนี้สถานการณ์วิกฤติได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทำให้ "ผบ.ซีล" ยอมเปิดใจและยอมรับว่าช่วงที่พีคสุดๆ ของปฏิบัติการ คือช่วงที่ต้องสูญเสีย "จ่าแซม" น.ต.สมาน กุนัน
"ที่พีคจริงๆ ก็มีช่วงที่ จ่าแซม เสียชีวิต และอีกส่วนก็คือภาวะแวดล้อมที่บีบคั้น และบีบให้เราต้องเร่งปฏิบัติ เช่น อากาศในถ้ำที่ลดลง อากาศน้อยลง ฝนที่จะตกลงมาอีก ถ้าตัดสินใจช้า เราอาจไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย ช่วงนั้นพอเรารู้ว่าอากาศในถ้ำน้อยลง และรู้เรื่องของฝนที่กำลังมา เราก็ต้องละเอียดมาก แต่ละวันจะทำอย่างไร ต้องรีบพอสมควร"
แน่นอนว่า "การดำน้ำในถ้ำ" กลายเป็นศาสตร์ใหม่ของระบบกู้ภัยไทย และเป็นเรื่องใหม่แม้แต่ของหน่วยซีลเอง ซึ่งวันนี้ปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไปแล้วว่าจะต้องพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพล
"ปกติงานในถ้ำถือเป็นเรื่องใหม่ เดิมทีเราก็มีการฝึกกำลังพลให้สามารถทำงานในรูปแบบต่างๆ ภายใต้สถานการณ์ต่างๆ อยู่แล้ว แต่การทำงานในถ้ำถือเป็นเรื่องใหม่ ผมว่ากรณีที่เกิดกับประเทศไทยลักษณะนี้ก็คงจะน้อย แต่เราก็ต้องคิดว่าเราจะต้องทำอย่างไรในอนาคต เช่น เรื่องการดำน้ำ จะมีการดำน้ำหลายรูปแบบ ลักษณะนี้เป็นเรื่องใหม่ที่เราไม่เคยเจอ ก็ต้องพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรให้มีมากขึ้น เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาในอนาคต"
หลังวิกฤตการณ์ถ้ำหลวงทำให้หลายคนเสนอว่าอาจต้องเพิ่ม "หลักสูตรดำน้ำในถ้ำ" เข้าไปในหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือ "หลักสูตรซีล" ซึ่ง พล.ร.ต.อาภากร ก็พร้อมรับองค์ความรู้ใหม่ๆ
"จริงๆ เราก็ต้องมีการเรียนรู้ตามแบบมืออาชีพ อย่างกรณีนี้ก็ต้องดูว่านักดำในถ้ำเขาทำกันอย่างไร เดี๋ยวเขาจะมาที่สัตหีบ (จ.ชลบุรี ฐานบัญชาการของหน่วยซีล กองเรือยุทธการ) ทางทีมดำน้ำอังกฤษก็จะมา และจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และอาจจะต้องมีการถ่ายทอด และมีหลักสูตรเพิ่มเติมขึ้นมา เดิมของเราก็โอเคอยู่แล้ว แต่ตรงนี้อาจจะเป็นส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมา ก็อาจจะมีเรื่องของการดำน้ำในประเภทอื่นๆ ด้วย"
"กับรบพิเศษของกองทัพบกก็เหมือนกัน ปกติเราก็มีการฝึกร่วมกันในหลายๆ การฝึกอยู่แล้ว มีเรื่องของ รบพิเศษสัมพันธ์ มีงานกันทุกปี ก็อาจต้องมีการแลกเปลี่ยน แต่ในเรื่องของทักษะ ความชำนาญพิเศษ ก็จะแตกต่างกันไปของแต่ละเหล่าทัพ"
ลึกๆ จากใจ "ผบ.ซีล" ก็คือบทเรียนจากปฏิบัติการที่ถ้ำหลวงจะต้องไม่สูญเปล่า ต้องนำไปสู่การยกระดับมาตรการรับมือภัยพิบัติและการกู้ภัยของชาติ ซึ่งหน่วยซีลเองก็กำลังถอดบทเรียนอยู่เช่นกัน
"เราไม่เคยทำงานในลักษณะนี้ ทำให้เครื่องมือเราไม่พร้อม แต่จากประสบการณ์การทำงานที่เราเคยช่วยเหลือประชาชนตามสถานที่ต่างๆ ในเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งเรื่องการดำน้ำ ทำให้เราพอมีประสบการณ์ และเราก็ใช้ประสบการณ์นั้นมาพิจารณาวางแผนว่าจะทำอย่างไร ซึ่งเป้าหมายหลักของเราคือช่วยน้องๆ เยาวชนทีมหมูป่า เราต้องไม่ถอย แต่เราจะรุกไปนั้น จะทำอย่างไรให้คนของเราปลอดภัย แต่ลักษณะการทำงานค่อนข้างยาก การวางแผนก็ต้องละเอียดพอสมควร"
"ผมคิดว่าในอนาคตเราต้องเจอกับธรรมชาติอีกหลายส่วน จากที่ผ่านมาเราเคยเจอน้ำท่วมใหญ่ ทหารเราก็มีบุคลากร มีทรัพยากรพร้อมใช้งาน ซึ่งตามภารกิจหลักก็ใช้ในการป้องกันประเทศ แต่ภารกิจช่วยเหลือประชาชนก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก็ถึงเวลาที่จะมาถอดบทเรียนกัน และมาดูว่าเรื่องการบรรเทาสาธารณภัยที่เราต้องเผชิญในอนาคต มีส่วนไหนบ้างที่ต้องทำความเข้าใจกัน"
"การถอดบทเรียนเฉพาะของหน่วยซีลก็ได้คุยแล้ว เดี๋ยวนักดำน้ำต่างชาติก็จะไปที่สัตหีบ ไปทำเวิร์กช็อป เพื่อดูในเรื่องที่เขามีประสบการณ์การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในถ้ำ จะต้องใช้อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมืออะไรบ้าง และกระบวนการตัดสินใจในการทำเรื่องต่างๆ ต้องทำอย่างไร ซึ่งของซีลเอง ก็มีการถอดบทเรียนในวงของตัวเองด้วย"
แต่ถึงที่สุดแล้วการรับมือกับภัยพิบัติและยกระดับงานกู้ภัย เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ไม่ใช่จำกัดวงแค่รบพิเศษ หรือหน่วยซีลเท่านั้น และนั่นคือบทเรียนสำคัญที่ พล.ร.ต.อาภากร มองเห็น
"งานนี้ทำให้ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะบทเรียนที่สำคัญก็คือคนไทย ต้องขอบคุณคนไทยทุกคนที่เรารักกันและช่วยงานกันด้วยความสามัคคี"
ย้อนกลับไปที่คำพูดของ "ผบ.ซีล" ที่ว่า "ถ้าตัดสินใจช้า เราอาจไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย" ประโยคนี้ไม่ได้อธิบายเฉพาะปฏิบัติการถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการยกระดับมาตรฐานการกู้ภัยและรับมือภัยพิบัติของประเทศด้วย ซึ่งต้องทำทันที ไม่ควรรั้งรออะไรอีกต่อไปแล้ว!