โดย "ครูชัย" ให้ความเห็นว่า โชคร้าย 3 ชั้น คือ 1.เป็นเหยื่อของภัยธรรมชาติ 2. เป็นเหยื่อการตลาด และ 3.เป็นเหยื่อของชาวโซเชียล"ครูชัย" โพสต์ข้อความ ดังนี้
ทีมฟุตบอลหมูป่ากับโชคร้าย 3 ชั้น..
โชคร้ายชั้นแรก
เป็น เหยื่อ ของภัยธรรมชาติ.ติดถ้ำเหมือนติดคุก ในพื้นที่แคบเท่าแมวดิ้นตาย
ต้องนอนในที่ชื้น พื้นแข็งและเย็น แถมไม่เป็นพื้นราบ
อากาศน้อย ไม่มีห้องส้วม ไม่ได้ทำกิจกรรมใดๆทั้งสิ้น
ยาวนานกว่า 2 สัปดาห์
.
.โชคร้ายชั้นสอง
ตกเปน เหยื่อ ของการตลาดและ PR ของแบรนด์และองค์กรต่างๆ.
ที่กระโดดเข้ามาประกาศจะให้ รางวัล ปลอบขวัญเพื่อเยียวยาปลอบใจ เพื่อเรียกความสนใจจากสื่อและได้ Earned Media ไปฟรีๆ
.ทั้งๆที่ทีมหมูป่าไม่ได้ร้องขอ (และไม่ได้รู้เรื่องด้วย)
สิ่งทีมหมูป่าร้องขอเท่าที่ทราบจากข่าวคือ
ข้าวกะเพรา หมูกะทะ และขอออกจากถ้ำแค่นั้น.
โชคร้ายขั้นสาม
ตกเป็น เหยื่อ ของสื่อและชาวโซเชียล (cyberbully)
.ยิ่งมีองค์กรให้ รางวัลปลอบใจ เท่าไหร่
น้องๆหมูป่ายิ่งถูกแขวะและวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเท่านั้น
ตั้งแต่ตั๋วดูนัดชิงจากฟีฟ่า จนไปถึงทุนการศึกษาจากม.นเรศวร สร้างประเด็นให้ถูกโจมตีได้ตลอด
.ตอนนี้น้องหมูป่าทั้ง 13 ยังไม่เห็น
เพราะยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
แต่ออกมามาย้อนอ่านยังไงก็ได้เห็น
ว่าเขาถูก ดึง ไปเป็นเหยื่อให้ถูก ด่า มากแค่ไหน
ทั้งๆที่เขาไม่รู้ตัว ไม่ได้ร้องขอและไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยเลย
.พวกเขาอาจจะรู้สึกกระแสน้ำที่ท่วมถ้ำว่าร้ายแรงแล้ว
แต่เทียบไม่ได้กับกระแสโซเชียลที่กระหน่ำซ้ำเติมเขา
อย่างที่เขาจะไม่มีทางได้เจอมาก่อนในชีวิตนี้
..ทีมหมูป่าไม่ได้ทำผิดอะไรที่ไปเที่ยวถ้ำ
เกิดอุบัติเหตุทางธรรมชาติ
ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์สุดวิสัย
.และทีมหมู่ป่าไม่ได้ทำผิดอะไร
ที่อยู่ๆมีองค์กรต่างๆเสนอ
รางวัลปลอบขวัญ เพื่อเยียวยาหัวใจ
เพราะเขาไม่ได้ร้องขอและไม่ได้รู้เรื่องเลย
.
แบรนด์หรือองค์กรต่างๆที่เสนอ
ถ้าเสนอให้ด้วยใจ เขาก็ไม่ผิดอะไร
แต่ถ้าเสนอแบบหวังผลทางการตลาด
ตั้งใจโหนกระแส โดยไม่สนผลลัพธ์
หวังแค่ได้ผลเชิง PR ได้ awareness อย่างเดียว
และเผลอๆ รู้ล่วงหน้าว่าน้องๆจะโดนกระแสเล่นงานด้วยซ้ำ!
.โหดร้ายกว่าธรรมชาติ
ก็การตลาดที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์เนี่ยล่ะ
.ผมเขียนไปแล้วในบทความที่แล้วก่อนหน้าว่า...
"13 หมูป่า = ผู้ประสบภัย
อาสานับพันชีวิต = Hero".
ผู้ประสบภัยควรให้คำขอบคุณและได้รับการปลอบขวัญ
Hero ควรได้รับรางวัล
Logic พื้นฐานก็มีพื้นฐานก็มีเท่านี้.
ถ้ามีคำถามว่าพวกเขาควรได้รางวัลปลอบขวัญไหม?
ส่วนตัวผมมองว่า...
"วันนี้ที่เขาจะได้ออกมาจากถ้ำ"
ออกมาเจอหน้าพ่อแม่ ออกมาเรียนหนังสือ
ได้แข่งบอล และได้ใช้ชีวิตตามปกติได้
.
มันคือรางวัลปลอบขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาทั้ง 13 แล้ว
มันคือผลลัพธ์แห่งพลังใจของผู้คนนับล้าน
มันคือความเสียสละของอาสาสมัครนับพันนับหมื่น
มันคือสิ่งยืนยันความมีน้ำใจของคนไทยที่ไม่เคยทิ้งกัน.
จากวันที่เกือบตาย ไม่รู้จะมีใครมาเจอไหม
จนถึงวันที่ต้องติดคุกอยู้ในถ้ำอย่างยาวนาน
จนถึงวันที่ได้ออกมา เห็นหน้าพ่อแม่และได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง
.มันคือ รางวัล ที่มีค่าสูงสุดและดีที่สุดที่เขาอยากได้แล้ว
รางวัลนี้มาจากแรงใจอันเสียสละที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆของอาสาสมัครนับหมื่นจากหลายสิบชาติ
ที่ยอมจ่ายทุกราคาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือให้เขาออกมา
รวมถึงได้รับกำลังใจจากคนไทยทั้งชาติและคนระดับโลกอีกมากมาย
.มันเป็น รางวัล ที่ดีที่สุดในชีวิตของพวกเขาแล้ว
โดยอาจไม่จำเป็นต้องได้รับรางวัลปลอบใจอื่นใดอีก เพราะไม่มีรางวัลไหนจะมีค่าเสมอเหมือนเท่านี้อีกแล้ว
.อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี
อย่าให้น้องหมูป่าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ที่เจ็บปวดสุดๆในถ้ำมาแล้ว
ต้องมาเจ็บปวดกว่านี้ นอกถ้ำอีกเลย
บทเรียนที่ได้...มันมากเกินพอสำหรับเด็กอายุ 12 แล้วล่ะ
#ครูชัย
Credit : ขอบคุณภาพจาก idol_addictข่าวที่เกี่ยวข้อง
"เด็กๆ ไม่ใช่วีรบุรุษ...พวกเขาออกจากถ้ำแล้วอย่าพา..เข้าถ้ำมืดแห่งใหม่เลย"
วินทร์ เลียววาริณ วอนสังคมอย่าทำลาย 13 ชีวิต #ทีมหมูป่า #ถ้ำหลวง