svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

(คลิปข่าว) ดราม่าเลิกประหาร ...นักวิชาการแนะ "งดลดโทษจำคุก"

ประเด็นดราม่า "ประเทศไทยควรมี "โทษประหารชีวิตต่อไปหรือไม่" หลังจากกรมราชทัณฑ์แถลงข้อมูลการประหารชีวิต "นักโทษเด็ดขาด" คนล่าสุด (หมายถึงคดีถึงที่สุดแล้ว) ซึ่งเป็นชายหนุ่มวัย 26 ปี จำเลยในคดีฆ่าชิงทรัพย์อย่างทารุณโหดเหี้ยม

การประหารชีวิตนักโทษรายนี้ ใช้วิธี "ฉีดสารพิษเข้าร่างกาย" ซึ่งนับเป็นรายที่ 7 แล้วที่ถูกประหารด้วยวิธีนี้ หลังจากเปลี่ยนวิธีประหารชีวิตจาก "ยิงเป้า" เป็น "ฉีดสารพิษ" เมื่อปี 2546


ประเด็นที่กลายเป็นดราม่าก็คือ การประหารชีวิตนักโทษครั้งนี้ เป็นการประหารหลังจากเว้นว่างไปเกือบ 9 ปี จากการประหารครั้งสุดท้ายเมื่อ 24 สิงหาคม ปี 52 ทั้งๆ ที่หากไม่มีการประหารชีวิตจริงๆ เลยครบ 10 ปี ประเทศไทยจะได้รับการจัดอันดับเป็น "ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ" ตามการประกาศของสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น โดยอัตโนมัติ ทำให้บางฝ่ายมองว่าไทยเสียโอกาส


แต่จากการตรวจสอบของ "ล่าความจริง" พบว่า การจะบอกว่าไทยเสียโอกาสในเรื่องนี้ ก็ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก เพราะการจะเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตจริงๆ ต้องแก้ "กฎหมายภายใน" ของเราเองด้วย หากยังมีกฎหมายคงโทษประหารชีวิตอยู่ ก็จะเป็นเพียง "ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ" เท่านั้น แม้จะทำให้ดู "ศิวิไลซ์" ขึ้นระดับหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว ประเทศศิวิไลซ์หลายๆ ประเทศ เช่น สหรัฐ หรือสิงคโปร์ ก็ยังมีโทษประหารชีวิตอยู่เช่นกัน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นองค์กรที่รณรงค์ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ออกแถลงการณ์ประณามไทยว่า ได้กระทำการละเมิดสิทธิ์การมีชีวิตรอดอย่างน่าละอาย ทั้งยังแสดงความผิดหวังกับไทยที่เคยประกาศว่าจะเดินหน้าไปสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางปฏิบัติและในทางกฎหมาย

ข้อมูลจากแอมเนสตี้ฯ ยังระบุว่า มีประเทศถึง 142 ประเทศ หรือมากกว่า 2 ใน 3 ของโลก ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมาย หรือในทางปฏิบัติแล้ว แต่ประเทศไทยกลายเป็นประเทศส่วนน้อยที่ยังคงโทษประหารชีวิตอยู่

การเดินหน้าบังคับโทษประหารชีวิตครั้งนี้ ทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยมีโอกาสบังคับโทษประหารชีวิตกับนักโทษคนอื่นๆ อีกในอนาคตอันใกล้/ เนื่องจากปัจจุบันมีนักโทษต้องคำพิพากษาประหารชีวิตในทุกประเภทความผิดและทุกชั้นศาล จำนวน 517 คน แยกเป็นนักโทษชาย 415 คน นักโทษหญิง 102 คน หากนับเฉพาะ "นักโทษเด็ดขาด" ที่คดีถึงที่สุดแล้ว ก็มีถึง 200 คน
นักอาชญาวิทยาชื่อดังจากมหาวิทยาลัยรังสิต ร้อยตำรวจเอก ดอกเตอร์ จอมเดช ตรีเมฆ บอกกับล่าความจริงว่า งานวิจัยแทบทุกชิ้นได้ผลตรงกันว่า โทษประหารชีวิตเกือบจะไม่มีผลยับยั้่งการก่ออาชญากรรมได้เลย เพราะผู้ที่ตัดสินใจกระทำผิด มักคิดเพียงโอกาสรอดจากการถูกจับกุม มากกว่าคิดถึงโทษที่จะได้รับหากถูกจับ


ส่วนกระแสดราม่าที่สังคมไทยมีความเห็นแตกเป็น 2 ฝ่าย โดยมีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากให้คงโทษประหารชีวิตเอาไว้ เพราะเชื่อว่าสามารถลดอาชญากรรมร้ายแรงได้นั้น อาจารย์จอมเดช บอกว่า ทางออกกลางๆ คือ การไม่ลดโทษจำคุกตลอดชีวิตสำหรับความผิดบางประเภท น่าจะได้ผลมากกว่าโทษประหาร เพราะการติดคุกตลอดชีวิต ทรมานกว่าโดนประหารเสียอีก