
การจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลกก็เพื่อกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่เลิกสูบ และให้รัฐบาลชุมชนและประชากรโลกตระหนักถึงความสำคัญและเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งสัญลักษณ์ของวันงดสูบบุหรี่โลกคือ
ดอกลีลาวดี หรือดอกลั่นทม เป็นสัญลักษณ์ของ "วันงดสูบบุหรี่โลก" หมายถึง การขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากตัวเรา
ดอกลีลาวดี เป็นดอกไม้ที่มีความหมายถึง การมีแต่ความสุข ชื่อเดิมนั้น คือ ดอกลั่นทม ซึ่งเมื่อก่อนทุกคนจะเข้าใจว่า เป็นดอกไม้อัปมงคล ไม่นิยมปลูกในบ้าน ปลูกแล้วมีแต่ความทุกข์ระทม แต่ถ้าศึกษาด้านภาษาจริงๆ คำว่า ลั่นทม เป็นคำผสมจาก ลั่น+ทม
ลั่น คือ ละทิ้ง เลิกทม คือ ความระทม
เมื่อรวมความหมายของดอกไม้ประจำวันงดสูบบุหรี่ สรุปความได้ว่า ละทิ้งความระทม ความเศร้าหมองต่างๆ นั่นก็คือให้มีความสุข สดใส และพอใกล้จะถึงวัน ที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี จะมีกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นเตือนให้ผู้สูบบุหรี่ที่พยายามที่จะเลิกสูบบุหรี่ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ, เอกชน ประชาสังคม ฯลฯ
ถ้าถามว่า ปัจจุบัน ประเทศบนโลกใบนี้ ที่มีจำนวนประชากรสูบบุหรี่มากที่สุด (เปรียบเทียบกับอัตราประชากร) ซึ่งข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่มีการสำรวจเมื่อช่วงระหว่างปี 2559-2560 ซึ่งประเทศที่มีประชากรสูบบุหรี่ในอัตราเทียบประชากรแล้วมากที่สุด ได้แก่
1.คิริบาส หรือ สาธารณรัฐคิริบาส เป็นชาติเกาะที่ตั้งในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนตอนกลาง คิริบาส เป็นประเทศที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีผู้ชายจำนวนเกือบ 2 ใน 3 ที่สูบบุหรี่ ส่วนผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 โดยคิริบาส มีประชากรเพียง 103,000 คน
2.มอนเตเนโกร ประเทศมอนเตเนโกรในยุโรปตะวันออก ถือเป็นประเทศที่มีอัตราสูบบุหรี่เป็นอันดับสองของโลก และมีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดในยุโรป ในมอนเตเนโกรมีประชากร ที่สูบบุหรี่มากกว่า 46 % จากประชากรทั้งหมด 633,000 คน
3.กรีซ มีอัตราการสูบบุหรี่สูงสุดเป็นอันดับ 3 โดยประชากรชายมากกว่าครึ่งสูบบุหรี่เป็นประจำ และประชากรหญิง 35% สูบบุหรี่
4.ติมอร์ตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ชายเกือบ 80% ที่สูบบุหรี่ ถือว่าชายชาวติมอร์ฯ สูบบุหรี่ในอัตราสูงที่สุดของโลก ส่วนผู้หญิงที่สูบบุหรี่ มีอัตราเพียง 6%
5) รัสเซีย มีอัตราการสูบบุหรี่มากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีเกือบ 60 % เป็นอัตราการสูบบุหรี่ของประชากรชาย อัตราการสูบของผู้หญิงอยู่ที่ 23%
แต่ถ้าถามว่าประเทศใดมีจำนวนประชาชนที่สูบบุหรี่มากที่สุด (จีน เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก คือกว่า 1.3 พันล้านคน) ต้องบอกว่า ประเทศจีน ประชากร 300 ล้านคน ยังสูบบุหรี่!
ส่วนประเทศที่มีอัตราการสูบบุหรี่น้อยที่สุดเช่น กานา, เอธิโอเปีย, ไนจีเรีย, เอริเทรีย และปานามา ฯลฯ
ถามว่า สถานการณ์ โรคที่เกี่ยวกับบุหรี่ของคนไทยเป็นอย่างไร ข้อมูลจาก มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ระบุว่า คนไทยกว่า 1 ล้านคน ป่วยจากการสูบบุหรี่
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก ( WHO:World Health Organization ) ระบุว่า หากมีคนไทยที่เสียชีวิตจากจากบุหรี่ 1 คน จะมีผู้ป่วยจากการสูบบุหรี่ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 คนโยปัจจุบันมีคนไทยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่กว่า 5 หมื่นคน และจะมีผู้ป่วยเรื้อรังจากบุหรี่กว่า 1 ล้านคน
ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าว ทำให้ประมาณการได้ว่า ปัจจุบันมีคนไทย มากถึง 1 ล้านคน ป่วยหรือพิการด้วยโรคเรื้อรังร้ายแรงจากการสูบบุหรี่ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง โรคถุงลมปอดพอง และโรคเรื้อรังอื่น ๆ
เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ บอกว่า จำนวนผู้ป่วยจากการสูบบุหรี่หนึ่งล้านคนนี้ ล้วนเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาดและค่ารักษาพยาบาลแพง โดยเฉพาะผู้ป่วยจากการสูบบุหรี่ที่อาการหนัก 5 หมื่นกว่ารายที่เสียชีวิตในแต่ละปีโดยเฉลี่ยจะป่วยหนักจนสูญเสียคุณภาพชีวิตคนละสองปี
ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้ นอกจากตัวเองจะทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยเป็นภาระต่อครอบครัวผู้ป่วยแล้วยังเป็นการเพิ่มภาระต่อการบริการของโรงพยาบาล และสร้างภาระต่องบประมาณด้านสาธารณสุขให้แก่รัฐบาล เนื่องจากผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่มีฐานะยากจนต้องใช้บริการสามสิบบาทรักษาทุกโรค หรือไม่ก็สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการซึ่งงบรักษาพยาบาลที่เกิดจากการักษาผู้ป่วยจากการสูบบุหรี่แนวโน้มจะยังเพิ่มขึ้นทุกปี
ล่าสุด องค์การอนามัยโลก จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 15 ของประเทศที่มีภาระการเจ็บป่วยจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ โดยจำนวนคนไทยที่สูบบุหรี่ ล่าสุดยังอยู่ที่ 11 ล้านคน ชายไทยยังสูบบุหรี่ร้อยละ 40 ซึ่งสูงกว่าอัตราการสูบบุหรี่เฉลี่ยของชายทั่วโลกที่เท่ากับ 34.6%
ถึงแม้ ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าในการดำเนินงานควบคุมยาสูบ แต่การสูบบุหรี่นั้นก็ยังคงเป็นปัญหาสำคัญอันดับต้น ๆ เนื่องจาก ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่ 1 ใน 5 คน และเด็ก 1 ใน 6 คนนั้นยังคงสูบบุหรี่ ซึ่งคิดเป็นจำนวน เกือบถึง 11 ล้านคน การสูบบุหรี่นั้นก่อให้เกิดความสูญเสียต่องบประมาณด้านสุขภาพอย่างมหาศาล และทำลายเศรษฐกิจ ของประเทศ