
ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้าง "พลังงานทางเลือก" ที่เชื่อกันว่าจะทดแทนการขาดแคลนพลังงานดั้งเดิมชนิดอื่นได้ เราเรียกกันว่า "นิวเคลียร์ฟิวชั่น" ซึ่งประเทศไทยเราเองก็มีแผนจะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ทดแทนพลังธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำมัน ก๊าซ เพราะจะให้พลังงานมากกว่าเป็นพันเท่า รวมถึงการนำพลาสมา มาใช้ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และเกษตรกรรม พลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่นและพลาสมานี้เป็นอย่างไร มีคุณอนันต์ แล้วจะมีโทษมหันต์หรือไม่ ไปติดตามจากรายงานพิเศษของ คุณอนุรักษ์ เพ็ญสวัสดิ์
นี่คือภาพแห่งการทำลายล้างที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับผู้คนทั่วโลก เป็นการทิ้งระเบิด "นิวเคลียร์" ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนั้นเรียกว่า "ปรมานู" ถล่มเมืองฮิโรชิม่า และนางาซากิ ของญี่ปุ่นจนราบเป็นหน้ากลอง แม้ผลของมันจะทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงได้ แต่มันก็กลายเป็นฝันร้ายและบาดแผลทั้งกายและใจให้กับชาวญี่ปุ่น ทั้งยังทำให้ "นิวเคลียร์" กลายเป็นอาวุธต่อรองในสงครามการเมืองระหว่างชาติมหาอำนาจ ที่หากใครตัดสินใจ "กดปุ่ม" ก็อาจทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 และหลายคนเชื่อว่าจะเป็นจุดจบของโลกใบนี้
แต่ในอีกด้านหนึ่ง มีความพยายามคิดค้นเพื่อใช้ "พลังงานนิวเคลียร์" ในทางสร้างสรรค์ เพื่อให้เป็น "พลังงานทดแทน" ที่เป็นมิตรต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม
หากพูดถึงเทคโนโลยีพลังงานอย่าง "นิวเคลียร์" เรามักจะจดจำภาพของการทำลายล้างหรือการส่งผลกระทบในแง่ลบต่อสังคม แต่วันนี้ ความก้าวหน้าทางวิทยาการของประเทศไทยเกี่ยวกับพลังงาน "นิวเคลียร์ฟิวชั่นและพลาสม่า" ได้ถูกนำมาพัฒนาให้สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการแพทย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ
เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. ได้จัดตั้ง "ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาพลาสมาและพลังงานฟิวชันแห่งชาติ" ขึ้น เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาการเตรียมพร้อมเพื่อใช้พลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันให้เป็นพลังงานทางเลือก โดยมีการจัดงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ "เทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันสู่ไทยแลนด์ 4.0" ซึ่งได้รับความสนใจจากนานาประเทศ
ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติฯ บอกกับล่าความจริงว่า หลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้คนมักจดจำอนุภาพของระเบิดนิวเคลียร์ แต่เมื่อมีการวิจัยและพัฒนาจะพบว่า พลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานที่มีความปลอดภัย และสามารถนำมาใช้ได้ระยะยาวโดยไม่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญเรื่องนี้ยังถูกบรรจุอยู่ในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านพลังงานนิวเคลียร์ของประเทศ พ.ศ.2560-2569 อีกด้วย
นอกจากจะเป็นแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานของประเทศในอนาคตแล้ว กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังได้ตั้งเป้าหมายเป็นแผนระยะยาว 20 ปี เนื่องจากหากเปรียบเทียบกับพลังงานจากเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน พลังงานลม หรือแม้แต่พลังงานจากแสงอาทิตย์ ในน้ำหนักเชื้อเพลิงที่เท่ากัน พบว่านิวเคลียร์ให้พลังงานมากกว่าน้ำมันเป็นพันเท่า จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยหากเร่งพัฒนาการใช้ "นิวเคลียร์ฟิวชัน" เป็นพลังงานทางเลือกใหม่ของบ้านเรา
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยได้นำนวัตกรรมทางการแพทย์จาก "เทคโนโลยีพลาสมา" มาใช้จริงแล้ว รองผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติฯ เล่าว่า แผนพัฒนานิวเคลียร์ฟิวชันเป็นพลังงานทางเลือกนี้ ยังมุ่งด้านการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรมรองรับเทคโนโลยีฟิวชันที่จะใช้ประโยชน์จาก "เทคโนโลยีพลาสมา" อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการเพิ่มศักยภาพทางการเกษตร และนำไปใช้ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ โดยมีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำร่องใช้ประโยชน์จากพลาสมาในทางการแพทย์แล้ว
เมื่อพลังงานไม่สะอาดอย่าง "ถ่านหิน" ถูกปฏิเสธจากคนไทยแทบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขณะที่ "น้ำมันเชื้อเพลิง" ก็มีราคาพลิกผัน เพราะอิงกับสถานการณ์การเมืองโลก การสรรหาพลังงานสะอาดที่มีความปลอดภัยมาทดแทนอย่างยั่งยืน จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของบ้านเรา ซึ่งล่าสุด "พรรคการเมืองบางพรรค" ก็เพิ่มพูดถึงประเด็นนี้กันบ้างแล้ว
แต่ภาพการชุมนุมคัดค้าน "โรงไฟฟ้านิวเคลียร์" ที่องครักษ์ จังหวัดนครนายก เมื่อราวๆ 20 ปีก่อน ยังเป็นประวัติศาสตร์สดใหม่ที่คนไทยยังจดจำกันได้ โจทย์ข้อยากของทุกฝ่ายก็คือ จะทำอย่างไรให้สังคมไทย "ลบภาพจำเดิมๆ" แล้วเริ่มต้นใหม่กับการใช้นิวเคลียร์ฟิวชั่นและพลาสมา เพื่อสร้างการพัฒนาที่เป็นธรรมและเท่าเทียม