
“สำหรับเทคนิคป้องกันตัวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของแก๊งมือไวใจบาปนั้นให้ระวังบุคคลที่มาเป็นกลุ่ม หรือพยายามทำทีเข้าประชิดแล้วเบียดซ้ายเบียดขวา ให้พึงสังวรไว้ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นพฤติกรรมของมิจฉาชีพ”
ยังคงมีข่าวการจับกุมและการเตือนภัยอยู่เป็นระยะสำหรับ “แก๊งกรีด-ล้วงกระเป๋า” หรือจะเรียก “แก๊งมือไว” ก็น่าจะตรงที่สุด เพราะมิจฉาชีพเหล่านี้มือเบาและคล่องแคล่วว่องไวราวกับเล่น “มายากล” สามารถฉกทรัพย์สินของมีค่าจากกระเป๋าเหยื่อไปโดยเจ้าของไม่รู้สึกตัว กว่าจะรู้ว่าทรัพย์สินถูกฉกหายแก๊งวายร้ายก็เผ่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ถ้าไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดกับคำให้การระบุวันเวลาสถานที่แน่ชัดของเหยื่อ ก็ยากที่ตำรวจจะ “ต่อจิ๊กซอว์” เพื่อติดตามจับกุม เรื่องแบบนี้มักจะมีให้เห็นอยู่ทุกปี โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปีใหม่ หรือ สงกรานต์
ล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษายน ก่อนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์เพียงแค่ 2 สัปดาห์ ตำรวจสามารถรวบแก๊งกัมพูชาก่อเหตุล้วงและกรีดกระเป๋า โดยมีคนไทยร่วมขบวนการด้วย โดย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภพธร จิตต์หมั้น ผกก.สน.ปทุมวัน, พ.ต.อ.นิติวัฒน์ แสนสิ่ง ผกก.สน.พญาไท และ พ.ต.ท.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ รอง ผกก. สายตรวจ สปพ. ร่วมกันแถลงผลจับกุมผู้ต้องหา 6 ราย ประกอบด้วย 1.น.ส.วิริยา สืบชาติ สัญชาติไทย 2.น.ส.นิน ลายนิน สัญชาติกัมพูชา 3.น.ส.เตือย เปา สัญชาติกัมพูชา 4.นายตี เอียน สัญชาติกัมพูชา 5.นายอุง ลอง เล็ก สัญชาติกัมพูชา และ 6.น.ส.นา เปา สัญชาติกัมพูชา พร้อมแจ้งข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร, หลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาตสิ้นสุด”
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ บอกว่า พฤติการณ์ของผู้ต้องหาแก๊งนี้คือ ก่อเหตุลักทรัพย์โดยการล้วงกระเป๋า กรีดกระเป๋า ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งสถานที่ก่อเหตุบ่อยครั้ง จะเป็นบริเวณศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าต่างๆ เกิดขึ้นย่าน สยาม มาบุญครอง และ ประตูน้ำ โดยเจ้าหน้าที่ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายเรื่อยมากระทั่ง เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา พร้อมด้วยของกลาง โทรศัพท์มือถือ จำนวน 53 เครื่อง มูลค่าโทรศัพท์มือถือที่ตรวจยึดประมาณร่วม 1 ล้านบาท ทั้งนี้กลุ่มคนร้ายชาวต่างชาติรับว่าได้หลบหนีเข้ามาและพักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักร และร่วมกันก่อเหตุลักทรัพย์ตามแหล่งท่องเที่ยว
“กลุ่มคนร้ายจะทำเป็นขบวนการ ในการก่อเหตุแต่ละครั้งจะแบ่งหน้าที่กัน คนหนึ่งทำหน้าที่ล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์สิน โดยอีก 2-3 คน ทำหน้าที่เบียดบังไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็นขณะก่อเหตุ ซึ่งมักจะลงมือในช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ มีผู้เสียหายหลายร้อยราย สิ่งของที่เอาไปส่วนใหญ่เป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟน กระเป๋าเงิน ก่อเหตุแต่ละครั้งได้โทรศัพท์กว่า 30-40 เครื่อง เมื่อได้โทรศัพท์จะนำไปเก็บซุกซ่อนที่ห้องพัก และจะลักลอบนำโทรศัพท์ที่ได้มาไปขายต่อยังประเทศของตน หรือประเทศเพื่อนบ้าน เครื่องละ 4-5 พันบาท เหยื่อส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้หญิง มีการทำงานเป็นขบวนการ โดยมีคนไทยร่วมด้วย” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ อธิบายพฤติการณ์ และยังย้ำว่า จากการปราบปรามที่ผ่านมาในพื้นที่กรุงเทพฯแทบจะไม่มีกลุ่มเหล่านี้แล้ว ที่จับได้ก็มีกลุ่มนี้เท่านั้น อย่างไรก็ตามเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ตำรวจต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในพื้นที่สำคัญ เช่น ถนนข้าวสาร ถนนสีลม เซ็นทรัลเวิลด์ หรือสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน
จากการปราบปรามจับกุมแก๊งกรีด-ล้วงกระเป๋าของตำรวจไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ จะสังเกตได้ว่าพฤติการณ์หรือวิธีการของแก๊งเหล่านี้ เหมือนกันหมด รวมทั้งการเลือกเหยื่อ และสถานที่ก่อเหตุ ไม่ว่าจะเป็นแก๊งกัมพูชา แก๊งเวียดนาม หรือแม้แต่แก๊งไทยล้วน หากแต่แก๊งต่างชาติจะมีคนไทยร่วมขบวนการทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางและหาจุดที่พัก ตลอดจนนำทรัพย์สินที่ได้ไปจำหน่าย ซึ่งปัญหาเหล่านี้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันเคยมีคำสารภาพของมิจฉาชีพชาวกัมพูชา ที่ระบุว่า จะเดินทางแบบมาเช้าเย็นกลับระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ได้เงินวันละหมื่นกว่าบาท หนึ่งอาทิตย์ทำมาประมาณ 2 ครั้ง โดยก่อนหน้าที่จะถูกจับ ยึดอาชีพกรีดกระเป๋ามาประมาณ 5 ปี อาศัยอยู่ตามชายแดนไทย-กัมพูชา และลงมือกรีดกระเป๋าในบริเวณชายแดน จากนั้นย้ายเข้ามาอยู่ที่ประตูน้ำ เพื่อกรีดกระเป๋าโดยเฉพาะ โดยเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิงต่างชาติ ใช้กระเป๋าสะพายข้าง และมีลักษณะบาง ซึ่งง่ายต่อการกรีด บางครั้งกรีดได้ทรัพย์สินบ้าง ไม่ได้ก็มี เคยกรีดแล้วได้เงินมากสุด 7-8 หมื่นบาท ลงมือมาแล้วประมาณ 30-40 ครั้ง โดยทราบวิธีการกรีดกระเป๋ามาจากเพื่อนชาวเวียดนาม
หากถอดพฤติกรรมแล้วพวกนี้จะเล็งเหยื่อเป็นผู้สูงอายุเป็นหลัก เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยระวังตัว รองลงมาคือเหล่าสาววัยรุ่นที่ชอบพกโทรศัพท์หรือพกกระเป๋าไว้ด้านหลัง ส่วนสถานที่ที่ลงมือได้ง่ายคือตามร้านขายเสื้อผ้า บางทีแก๊งเหล่านี้ทำทีไปเดินดูเสื้อผ้า คนหนึ่งอาจจะแกล้งหยิบหรือยกชายเสื้อในร้านบังไว้ แล้วอีกคนก็จะลงมือกรีดหรือล้วงกระเป๋าทันที ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อสถานที่ใดผู้คนมารวมกันมากๆ ก็เป็นโอกาสให้เหล่า “นักล้วง-นักกรีด” แฝงตัวเข้ามาก่อเหตุอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน
วงจรแก๊งเหล่านี้ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน จะมีอยู่ 2 พวกใหญ่ๆ คือ ชาวกัมพูชา กับ ชาวเวียดนาม แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นแก๊งชาวเวียดนามมักจะแต่งตัวดีและมีหนังสือเดินทางเข้าเมืองถูกต้อง ส่วนแก๊งชาวกัมพูชานั้นจะแต่งตัวพื้นๆ ง่ายๆ เหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไป อย่างไรก็ตามนอกจากสองแก๊งจำพวกนี้แล้ว ในอดีตยังเคยมีแก๊งชาวฟิลิปปินส์ สิ่งที่ต่างออกไปคือ แก๊งฟิลิปปินส์จะเล็งเหยื่อตั้งแต่อยู่ที่ตู้เอทีเอ็ม เมื่อสบโอกาสก็จะลงมือ โดยทีมหนึ่งอาจจะมีคนลงมือชุดละ 3-4 คน คนหนึ่งเป็นคนกรีด หรือล้วงกระเป๋า ส่วนคนที่เหลือเป็นคนเดินประกบบังสายตาผู้อื่นที่อาจสังเกตเห็นได้ เมื่อกระทำการสำเร็จคนที่ถือทรัพย์สินจะหนีไปก่อน ส่วนทีมที่เหลือบางครั้งจะเป็นเหมือนตัวล่อให้ตำรวจมาจับ เพราะแม้จะจับไป ก็ต้องปล่อยตัวเนื่องจากไม่มีหลักฐานและไม่มีผู้เสียหายชี้ตัว
บางครั้งของที่ได้ไปสำหรับแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้เสมือนหนึ่งเป็น “ทรัพย์บาป” ล้วงเท่าไหร่ กรีดไปขนาดไหนก็ไม่เคยพอ ได้มาง่ายก็ใช้คล่องแบบ “มือเติบ” โดยส่วนใหญ่ถูกผลาญไปกับการพนัน ที่เล่นกันในกลุ่มของพวกเขาเอง บางคนติดยาเสพติด จนผันตัวมาเป็นผู้ค้าเสียเองก็มี และจากการสืบสวนหาข่าวเชิงลึกของเจ้าหน้าที่ คนกลุ่มนี้นิยมพักอยู่ตามห้องเช่าราคาถูกย่านห้วยขวาง สุทธิสาร และประตูน้ำ ระยะหลังมานี้ไม่เพียงแค่มีเป็นแก๊ง เพราะมีแม้กระทั่งขาจร ลงมือโดยที่ไม่ได้เตรียมการมาก่อน แต่สบโอกาสเชื้อชวนให้ก่อเหตุ หรือแม้แต่คนมีงานทำเป็นหลักแหล่ง ทำงานให้นายจ้างคนไทยทั่วไป แต่พอมีเวลาว่าง หรือวันหยุด ก็เลือกที่จะออกมาเดิน “ฉายเดี่ยว” หาโอกาสลงมือในพื้นที่ตลาด หรือแหล่งคนพลุกพล่าน ประหนึ่งเป็น “อาชีพเสริม” ก็มี
สำหรับเทคนิคป้องกันตัวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของแก๊งมือไวใจบาปนั้น ให้ระวังบุคคลที่มาเป็นกลุ่ม หรือพยายามทำทีเข้าประชิดแล้วเบียดซ้ายเบียดขวา ให้พึงสังวรไว้ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นพฤติกรรมของมิจฉาชีพ ส่วนกระเป๋าและของมีค่าควรเก็บไว้ด้านหน้า เพื่อให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ที่สำคัญต้องเป็นคนช่างสังเกต ระมัดระวังตัวอยู่เสมอเมื่ออยู่ในที่มีผู้คนหนาแน่น
แม้ตำรวจจะการันตีว่าตอนนี้ในกรุงเทพฯ สามารถปราบแก๊งล้วงและกรีดกระเป๋าได้หมดแล้ว ขอให้สบายใจหายห่วง แต่ก็ไม่ควรประมาท โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์นี้มีหลายพื้นที่จัดกิจกรรมเล่นน้ำ และไม่เพียงแต่ในกรุงเทพฯ หากแต่เป็นทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยที่จัดกิจกรรม จึงถือเป็นช่วง “ไฮซีซั่น” ของเหล่านักล้วง เพราะถ้าวันใดที่การป้องกันระมัดระวังหละหลวม กลุ่มมิจฉาชีพที่ว่านี้ก็พร้อมจะกลับมาก่อความเดือดร้อนอีกอย่างแน่นอน