
แต่หากมองย้อนไป ถือว่า"เปรมชัย"ขึ้นมาเป็นประธานและผู้กุมบังเหียน"กลุ่มอิตัลไทย"โดยเหตุจำเป็น หลังการเสียชีวิตของ"เอกชัย กรรณสูต" พี่ชายของเขา
สำหรับ"หมอชัยยุทธ กรรณสูต" เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปในแวดวงสังคมและคนในอิตัลไทย ในยุคที่เป็นอาคารสูงที่สุดเพียงอาคารเดียวบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ว่าคนที่ถูกวางตัวเป็นผู้กุมบังเหียนเครืออิตัลไทยคนต่อจากหมอชัยยุทธก็คือ"เอกชัย กรรณสูต"
แต่อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่พรากเอกชัยไปจากครอบครัว"กรรณสูต"เมื่อปี 2522 ทำให้"เปรมชัย"ต้องก้าวขึ้นมารับไม้ต่อ
ความจริงแล้ว"หมอชัยยุทธ" ถือว่าได้วางแผนให้ทายาททั้ง 5 คนไว้สำหรับ"งาน"ในเครือตั้งแต่การศึกษา เพราะทายาททั้ง 5 คน คือ เอกชัย พิไลจิตร นิจพร อรเอม เปรมชัย ต่างก็ถูกส่งเสียให้ร่ำเรียนวิชาที่สามารถนำมาใช้งานบริษัทในเครือทุกคน
"เอกชัย กรรณสูต" ทายาทคนโตที่เสียชีวิต จบการศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์จาก WORCESTER POLYTECHNIC INSTITUTE ที่ BOSTON สหรัฐอเมริกาเพื่อที่จะมาดูงานด้านการก่อสร้างของบริษัท เช่นเดียวกับ "เปรมชัย กรรณสูต" ที่เริ่มต้นการศึกษาที่โรงเรียนจิตรลดา ก็ร่ำเรียนมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ คือ MINING ENGENEERING จาก COLORADE UNIVERSITY และจบ MBA จาก UNIVERSITY OF SOUTHERN CALIFORNIA
ส่วนลูกสาวของหมอชัยยุทธ -ม.ร.ว. หญิง พรรณจิต (สกุลเดิม วรวรรณ) ทั้งสามคน คือพิไลจิตร นิจพร อรเอม ต่างก็เรียนจบคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และต่างก็เคยดูแลงานด้านบัญชีและการเงินของอิตัลไทยมาแล้ว
การเสียชีวิตในวัย 32 ปี 10 วันของเอกชัย ทำให้ชีวิตของน้องชายคนเล็กเปลี่ยนไป
เพราะทันทีที่กลายเป็น"ลูกชายคนเดียว" ทำให้"เปรมชัย"ถูกมองว่าจะก้าวขึ้นมาเป็น"เบอร์หนึ่ง"ของอิตัลไทย ทำให้คนในบริษัทกล่าวถึงการทำงานของหนุ่มร่างใหญ่คนนี้ว่า"ไม่มีความสุข" แต่เมื่อ"ตัดใจ"และ"ทำใจ"ว่าจะต้องรับไม้ต่อจากพ่อ จากที่ไม่ค่อยจะใส่ใจมากนัก เปรมชัยกลับกลายเป็น"คนบ้างาน" โดยปริยาย"คุณเปรม (ชัย) เป็นคนทำงานหนักมาก ไม่ว่าจะไปที่ไหน ตอนเย็นท่านจะกลับมาทำงานต่อที่ออฟฟิศถึงค่ำทุกคืน" คนในอิตัลไทยกล่าวถึงนายใหญ่คนใหม่ของเขา และไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเปรมชัย เพราะ"บ้าน"ของเขาอยู่ในซอบศูนย์วิจัย ไม่ไกลจากอาคารอิตัลไทยทั้งใหม่และเก่าที่สร้างเผชิญหน้ากันที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ความจริงแล้ว "เปรมชัย" ต้องรับภาระเร็วเกินไปด้วยซ้ำ
เพราะเมื่อ"เอกชัย กรรณสูต" เสียชีวิตในปี 2522 นั้น คนที่"หมอชัยยุทธ"ตั้งความหวังที่จะนำ"อิตัลไทย"ให้ผงาดต่อจากเขาคือ"เขยใหญ่" นั่นคือ โดยเฉพาะการลาออกของ ดร. วิพรรธ์ เริงพิทยา เขยใหญ่ ซึ่งเป็นคนที่หมอหวังมากที่จะรับช่วงการบริหารต่อจากเขาภายหลังการเสียชีวิตของเอกชัย กรรณสูตช่วงที่ ดร. วิพรรธ์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "นักบริหารมืออาชีพ" เข้ามาดูแลและ"จัดระบบ"ในอิตัลไทยในช่วงปี 2522-2524 หลังการเสียชีวิตของเอกชัย ถือเป็นยุคที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือเริ่มมี"คนนอก"เข้ามาช่วยบริหารงานในอิตัลไทย
หนึ่งในคนที่ดร.วิพรรธ์ดึงตัวมาช่วยงาน ก็คือ เสรี จินตนเสรี อดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่เชื่อมือดร. วิพรรธ์ถึงขั้นยอมลาออก รองผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย มาดูแลการเงินให้อิตัลไทย
แต่หมอชัยยุทธกับ"เขยใหญ่" ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ เพราะต่างคนต่างแข็งและเชื่อมั่นตัวเอง หมอชัยยุทธก็เชื่อในหลักการที่คนสร้าง"อิตัลไทย"จนใหญ่โต ขณะที่ ดร. วิพรรธ์ ก็ไม่ทิ้งหลักการการทำงานที่ตนเห็นว่าถูกได้
"เขาไม่ยอมแม้กระทั่งหมอชัยยุทธ" เสรี จินตนเสรี เคยเล่าให้ฟังถึงบุคลิกความเป็นคน "ยอมหักไม่ยอมงอ" ของดร. วิพรรธ์ คนที่ทำให้เขายอมทิ้งอนาคตที่แบงก์ชาติมาร่วมหัวจมท้ายด้วยเพราะความนับถือเป็นการส่วนตัว
สุดท้าย ดร. วิพรรธ์ ยอมลาออกเพื่อรักษาความสัมพันธ์"พ่อตา-ลูกเขย"ไม่ให้แย่ไปตามความขัดแย้งเรื่องงาน"เขยใหญ่"ไป คนที่ก้าวเข้ามาเป็น"เขยกลาง" อดิสร จรณะจิตต์ สามีของนิจพร ที่กลายเป็น"เบอร์หนึ่ง"ขึ้นมาในช่วงปลายการทำงานของหมอชัยยุทธ โดยเฉพาะความรู้เรื่องการเงินที่"อดิศร"เก่งมาก และนั่นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของบริษัทก่อสร้าง โดย"อดิศร" บัณฑิตเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตแบงก์เกอร์จากเชส-แมนฮัตตัน และซิตี้แบงก์ สามารถช่วยในเรื่องการวิเคราะห์โครงการด้านการเงินของอิตาเลียนไทยได้เป็นอย่างดี
กล่าวกันว่ายุคนั้น เป็น"ศึกสายเลือด"ที่คนในอิตัลไทยก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็น"เบอร์หนึ่ง" ระหว่าง "เปรมชัย กรรณสูต" ทายาทคุณหมอที่ทุกคนเชื่อว่าจะเป็นเบอร์หนึ่ง กับ"อดิสร จรณะจิตต์" ลูกเขยที่มีอำนาจการบริหารสูงสุดในตอนนั้น (รองจากหมอชัยยุทธ)
แต่เมื่อชัดเจนว่า"เลือดข้นกว่าน้ำ" อดิสรก็ตัดสินใจไปดูแล"โรงแรมโอเรียลเต็ล" ที่หมอชัยยุทธถือหุ้นใหญ่(ในขณะนั้น)แทนที่จะเป็นประธานอิตัลไทย ที่ยังไงก็ต้องเป็นของ"เปรมชัย กรรณสูต"และเป็นช่วงที่"เปรมชัย"เรียนรู้พอที่จะรับไม้ต่อจากพ่อแล้ว
สิ่งที่เป็น"ความแตกต่าง"ที่ชัดเจนที่สุดของ"เปรมชัย"ที่แตกต่างจาก"หมอชัยยุทธ"ก็คือการตัดสินใจนำอิตัลไทยเข้าจดทะเบียนในตบาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หมอชัยยุทธไม่เห็นด้วยมาโดยตลอด
"เราทำเองได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์" หมอชัยยุทธย้ำเรื่องนี้หลายครั้งแต่เมื่อถึงยุคเปรมชัย กรรณสูต ขึ้นเป็นประธานกรรมการบริหารอิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มอิตัลไทยด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมโรงงานคนใหม่ ดูเหมือนว่าแนวคิดในเรื่องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของเขาต่างไปจากผู้เป็นพ่อ เพราะท่าทีของเขาค่อนข้างที่จะให้ความสนใจกับการนำบริษัทในเครือเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเฉพาะลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม ที่หลายๆ โรงแรมในเครืออิตัลไทยอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว เช่น โรงแรมโอเรียลเต็ล โรงแรมรอยัลออคิด"เรายังมีบริษัทอื่นๆ อีกหลายบริษัทที่เตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อย่างเช่นบริษัท สยามสตีลซินดีเกต หรือสยามแมชชินเนอร์รี่" เปรมชัยกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงทิศทางของกลุ่มในวันหน้า
แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รับรู้มากนักก็คือ เปรมชัย กรรณสูต ได้ใช้เวลาหลายปีในระหว่งการเดินตามหมอชัยยุทธ สร้างสายสัมพันธ์กับนักการเมือง โดยเฉพาะ"ประชาธิปัตย์" อันเนื่องมาจาก"หมอชัยยุทธ"สนิทสนิมกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยในวันเซ็นสัญญาก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้หลายคนฝนวัยเดียวกับเขา ได้แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนม
นอกจากนั้น หลายคนเชื่อว่า เปรมชัยมีความสนิทเป็นพิเศษกับดร. สาวิตต์ โพธิวิหา ส.ส. ประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชวน หลีกภัย
"ความสัมพันธ์ดังกล่าว (ระหว่างเปรมชัยกับดร. สาวิตต์) ปรากฏให้เห็นถึงความช่วยเหลืออิตัลไทยในโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังที่สมัยนั้น ดร. สาวิตต์ยังเป็นผู้อำนวยการโครงการอีสเทอร์นซีบอร์ดอยู่" คนในวงการเมืองเล่าให้ฟัง
จึงไม่แปลกที่หนึ่งในการขยายปีในยุคเปรมชัยขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งอิตัลไทย ซึ่งืเป็นช่วงก้าวกระโดดของอิตัลไทย นั่นคือในปี 2529-30 อันเป็นช่วงการก่อสร้างโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (EASTERN SEABOARD) ที่อิตาเลียนไทยฯ ลดทิฐิของตนเองด้วยการร่วมทุนกับต่างชาติคือญี่ปุ่น เป็นที่มาของความสำเร็จอันนี้เพราะงานก่อสร้างโครงการอีสเทอร์นซีบอร์ด หลายๆ โครงการหรือเกือบจะทั้งหมดเป็นเงินกู้จากต่างประเทศคือญี่ปุ่น (OECF) ที่เงื่อนไขส่วนหนึ่งก็คือผู้รับเหมาก่อสร้างจะต้องร่วมทุนกับญี่ปุ่นบทเรียนในครั้งนั้น เปรมชัยรับทราบด้วยดีและเป็นสิ่งที่เขานำมาใช้ในวันนี้ด้วย
การเป็นคนมีสายสัมพันธ์มากมาย จึงน่าจับตามองว่า หลังจากใช้ประโยชน์จนขยายธุรกิจของอิตัลไทยในฐานะ"เบอร์หนึ่ง"แล้ว ในช่วงวิกฤติชีวิตจากเหตุการณ์ที่ทุ่งใหญ่ เขาสามารถใช้ประโยชน์ได้หรือไม่เพราะที่สำคัญ หากใช้พลาด จะผิดทางไปตลอดชีวิต !!!