
ปัญหานักโทษล้นคุก เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับกระบวนการยุติธรรมไทยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ในมุมกลับกัน ปัญหาการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ดูแลด้านความเป็นอยู่และสุขภาพของผู้ต้องขัง ก็เป็นอีกปัญหาเรื้อรังไม่แพ้กัน เพราะภาพเหล่านี้สะท้อนจากอัตราส่วนการใช้ผู้คุม 1 คน ดูแลผู้ต้องขังนับร้อยคน ส่วนพยาบาลในเรือนจำเอง ก็ต้องคอยรักษาผู้ต้องขังนับพันคน
บูรพา สุขเกษม พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ หรือที่ผู้ต้องขังเรียกเธอว่า "หมอบูล" บอกกับทีมล่าความจริงว่า ที่ผู้ต้องขังเรียกเธอว่าหมอ เพราะว่าพยาบาลในเรือนจำแต่ละแห่งจะทำหน้าที่ทั้งหมอและพยาบาลในเวลาเดียวกัน ทั้งการประเมินอาการคนไข้ และรักษาอาการป่วยด้วยประสบการณ์ความรู้ เนื่องจากภายในเรือนจำไม่มีห้องตรวจเลือดหรือเครื่องเอ็กซเรย์ใดๆ แตกต่างจากโรงพยาบาลทั่วไป หากอาการของผู้ต้องขังไม่หนักจริงๆ ก็จะไม่มีการนำตัวส่งโรงพยาบาล
ผู้ต้องขังในเรือนจำแห่งนี้มี 4 พันกว่าคน และเป็นผู้ชายล้วน ก็จะมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคแตกต่างมากมาย หรืออุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา เช่น ไหล่หลุด ข้อหลุด บางรายขาหักก็ต้องรักษาด้วยการใส่เผือก ซึ่งแต่ละวันจะเจอสถานการณ์ที่ตื่นเต้นไม่ซ้ำกัน หากอาการไม่หนักมากจริงๆก็จะไม่ส่งไปยังโรงพยาบาลภายนอก
ชีวิตของพยาบาลที่ใครๆ ก็รู้ว่างานหนักขนาดไหน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางหนักเท่าการเป็นพยาบาลในเรือนจำ "หมอบูล เล่าว่านอกจากการทำหน้าที่ในช่วงเวลาราชการตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 4 โมงเย้นแล้ว พยาบาลทั้ง 3 คนยังต้องสลับกันเข้าเวรในช่วงเวลากลางคืนด้วย หากมีผู้ต้องขังเจ็บป่วยในยามวิกาล พวกเธอต้องรีบมาดูอาการทันที
เธอเล่าอีกว่า ตอนแรกที่เข้ามาทำหน้าที่อยู่ในเรือนจำ รู้สึกกลัวตลอดเวลา เพราะผู้ต้องขังทั้งหมดเป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ มีแต่รอยสักเต็มตัวไปหมด แต่ก็ต้องทำงานทุกวันเพราะเป็นหน้าที่ และสุดท้ายก็คุ้นเคย แม้งานจะหนักและเสี่ยงอันตราย แต่รายได้ของพยาบาลวิชาชีพอย่างพวกเธอกลับน้อยนิด หากเทียบกับความเสี่ยงในการทำหน้าที่กับผู้ต้องขังซึ่งมีจำนวนมากกว่าเจ้าหน้าที่หลายเท่าตัว ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตของพวกเธอแขวนอยู่บนเส้นด้ายคนที่จะมาเป็นพยาบาลในเรือนจำจะต้องมีความเสียสละ เพราะรายได้จะต้องลดลงแน่นอน ต่างจากโรงพยาบาลข้างนอก เพราะมีค่าล่วงเวลาหรือเงินสนับสนุนต่างๆ ให้ แต่พยาบาลในเรือนจำจะได้ค่าเวรแค่ 500 บาท บางทีต้องเข้าเวรตลอด 24 ชั่วโมง และทำงานภายใต้ความหวาดกลัว เพราะเรือนจำไม่ใช่สถานที่ที่น่าอภิรมย์ เราเป็นพยาบาลผู้หญิง แต่ต้องดูแลผู้ต้องขังชาย และการเข้าเวรก็จะเข้าแบบ On Call หากเรียกเมื่อไรก็ต้องมาเมื่อนั้น ค่าล่วงเวลาก็อยู่ที่ 50 บาท ถ้ารักษาไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็จะไม่ได้เงิน หากจะมาอยู่เรือนจำก็เลิกคิดถึงจำนวนเงินได้เลย
เช่นเดียวกับ จุรีรัตน์ แพ่งจันทึก พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ ซึ่งเป็นหัวหน้าสถานพยาบาลเรือนจำเขาพริก บอกว่า จำนวนผู้ต้องขังที่มีมากขึ้นทุกวัน แต่พยาบาลหรือแม้แต่ผู้คุมกลับมีจำนวนน้อย ไม่ได้สัดส่วนที่เหมาะสม ที่ผ่านมามีพยาบาลที่ทำงานในเรือนจำจำนวนไม่น้อย ทำเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่โรงพยาบาลทั่วไปที่บ้านเกิดของตัวเอง เพราะรู้สึกถึงความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ ประกอบกับเงินสนับสนุนต่างๆ ที่ดูจะน้อยเกินไปกับความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ทุกๆ วันผู้อำนวยการทัณฑสถานเกษตรอุตสาหกรรมเขาพริก ยอมรับว่า ปัญหาจากจำนวนของผู้ต้องขังที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อการทำหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมงของพยาบาลหญิงทั้งหมดในเรือนจำ โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยของตัวพยาบาลเอง รวมถึงปัญหาการขาดแคลนผู้คุมที่มีสัดส่วนน้อยกว่าผู้ต้องขังมาก แต่ภายใต้ข้อจำกัดนี้ เจ้าหน้าที่เรือนจำเขาพริกก็จะพยายามปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด
ความขาดแคลนของเจ้าหน้าที่จะสะท้อนออกมาตอนที่ผู้ต้องขังมีอาการป่วย หากมีการนำส่งโรงพยาบาล เราจะต้องให้ผู้คุมและพยาบาลพาผู้ต้องขังที่ป่วยไปด้วย หากวันหนึ่งป่วย 3-4 คน แน่นอนว่ามีปัญหาในการปฎิบัติหน้าที่ดูแลผู้ต้องขังที่เหลือแน่นอน
ปัญหาความขาดแคลนทั้งผู้คุมและพยาบาล ติดอยู่ที่มติ ครม.ที่ไม่ได้ให้มีการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ จึงทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะกระทบไปหมด เพราะงานล้น เจ้าหน้าที่น้อย ผู้ต้องขังเพิ่มขึ้น เราจะปฏิเสธรับผู้ต้องขังไม่ได้ เพราะปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น แต่เราก็ต้องทำงานภายใต้ข้อจำกัด
อายุตม์ สินธพพันธุ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ บอกว่า ได้พยายามแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพยาบาลที่ทำหน้าที่ตามเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศมาตลอด โดยมีการจัดพยาบาลให้ได้ในอัตราส่วน พยาบาล 1 คนต่อผู้ต้องขัง 1,250 คน รวมถึงมีการคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงาน แต่ก็ยังมีจำนวนไม่เพียงพอ เพราะปัจจุบันผู้ต้องขังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นผู้คุม พัศดี หรือแม้แต่นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ก็ยังมีสัดส่วนที่ไม่สมดุล
สัดส่วนพยาบาลกับผู้ต้องขังเรือนจำทั่วประเทศ
เรือนจำกลางราชบุรี ผู้ต้องขัง 8,259 / พยาบาล 3 คนเรือนจำกลางระยอง ผู้ต้องขัง 7,085 / พยาบาล 3 คนเรือนจำกลางเชียงใหม่ ผู้ต้องขัง 6,582 / พยาบาล 4 คนเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ผู้ต้องขัง 6,379 / พยาบาล 4 คนเรือนจำกลางคลองเปรม ผู้ต้องขัง 6,278 / พยาบาล 4 คนเรือนจำกลางเขาบิน ผู้ต้องขัง 3,558 / พยาบาล 3 คน
"ทีมล่าความจริง" ยังได้รับข้อมูลที่น่าตกใจสำหรับอัตราส่วนพยาบาลกับจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำความมั่นคงสูง เช่น เรือนจำกลางราชบุรี มีผู้ต้องขัง 8,259 ต่อพยาบาล 3 คน / เรือนจำกลางระยอง ผู้ต้องขัง 7,085 ต่อพยาบาล 3 คน / เรือนจำกลางเชียงใหม่ ผู้ต้องขัง 6,582 ต่อพยาบาล 4 คน / เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ผู้ต้องขัง 6,379 ต่อพยาบาล 4 คน / เรือนจำกลางคลองเปรม ผู้ต้องขัง 6,278 ต่อพยาบาล 4 คน / และเรือนจำกลางเขาบิน ผู้ต้องขัง 3,558 ต่อพยาบาล 3 คน
เมื่อจำนวนผู้ต้องขังเพิ่มขึ้นจากความเข้มงวดในการจับบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม ฉะนั้นปลายน้ำของกระบวนการอย่างกรมราชทัณฑ์ ก็ควรได้รับการสนับสนุนเรื่องผู้ปฏิบัติงานให้เพียงพอ เพื่อภารกิจ "คืนคนดีสู่สังคม" ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ อันจะเป็นการลดจำนวนผู้ต้องขังลงได้ในระยะยาวนั่นเอง